เครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคม เลขทะเบียน ๘๖๙ สภาพัฒนาการเมือง สถาบันพระปกเกล้า

อุดมการณ์สถานักพัฒนาเพื่อประชาธิปไตย

เรา...มั่นใจว่า
ประชาธิปไตย เป็นจิตวิญญาณของเรา
ประเทศไทย เป็นของเราทุกคน
เรา ต้องร่วมกันสร้างชาติไทย ให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์

ขอไว้อาลัยต่ออการจากไปของ ดร.พีรพันธ์ พาลุสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ขอไว้อาลัยต่ออการจากไปของ ดร.พีรพันธ์  พาลุสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ พระปกเกล้า แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ พระปกเกล้า แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ "พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว"

ที่มา : “กฎหมายรัฐธรรมนูญ” , วิษณุ เครืองาม
พิมพ์ครั้งที่ ๒ ,(กรุงเทพฯ ; โรงพิมพ์แสวงสุทธิการพิมพ์) , ๒๕๒๓, หน้า ๑๓๒-๑๓๔


"…ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไปแต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาดและโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร"
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7
มาตรา ๑ อำนาจอธิปไตยเป็นของพระมหากษัตริย์

มาตรา ๒ พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีนายหนึ่งซึ่งรับผิดชอบ ต่อพระองค์ในการบริหารราชการแผ่นดินทั้งปวง และให้นายกรัฐมนตรีอยู่ในตำแหน่งตามพระราชอัธยาศัย

มาตรา ๓ ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบในการแต่งตั้งและถอดถอนรัฐมนตรีทั้งหลาย ซึ่งเป็นเจ้ากระทรวงต่าง ๆ โดยนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบต่อพระมหากษัตริย์ในกิจการทั้งปวงของแต่ละกระทรวง และจะต้องรับผิดชอบในการปฏิบัติภารกิจตามนโยบายทั่วไปของรัฐบาล ดังที่มีพระบรมราชโองการ และรับผิดชอบในการประสานงานระหว่างกระทรวงต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุนโยบายดังกล่าว

มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีแต่ละนายรับผิดชอบโดยตรงต่อนายกรัฐมนตรี สำหรับงานในกระทรวงของตน และให้ร่วมปฏิบัติภาคกิจตามนโยบายทั่วไปของรัฐบาลตามคำบัญชาของนายกรัฐมนตรี

มาตรา ๕ ให้มีการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยให้คณะรัฐมนตรีประกอบด้วยรัฐมนตรีทุกนาย คณะรัฐมนตรีอาจอภิปรายปัญหาสำคัญอันเป็นประโยชน์ได้เสียร่วมกันได้แต่ให้ นายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบในการลงมติทั้งปวง

มาตรา ๖ ให้นายกรัฐมนตรีกราบบังคมทูลพระมหากษัตริย์เพื่อขอรับพระบรมราชวินิจฉัย ในปัญหาทั้งปวงอันเกี่ยวด้วยนโยบายทั่วไป และไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใดก็ตาม นายกรัฐมนตรีต้องปฏิบัติตามพระบรมราชโองการ

วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

อภิวัฒน์ ๒๔๗๕ ถึงรัฐประหาร ๒๔๙๐

ขียนโดย สัมผัส พึ่งประดิษฐ์
ตมธก. รุ่น ๗ ธรรมศาสตร์บัณฑิต

.....๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เป็นวันที่ประเทศไทยได้เปลี่ยนการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ซึ่งพระมหากษัตริย์เป็นผู้มีพระราชอำนาจเด็ดขาดในการปกครองแผ่นดิน มาเป็นระบอบประชาธิปไตยที่พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ภายใต้กฎหมาย ด้วยการยึดอำนาจการปกครองโดยคณะราษฎร โดยการนำของพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) หัวหน้าคณะราษฎร และหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) หัวหน้าฝ่ายพลเรือน อันกอปรด้วยทหารบก ทหารเรือ พลเรือน เป็นการสิ้นสุดซึ่งอำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์และเริ่มต้นการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญยิ่งต่อประเทศชาติและประชาชนไทย ที่ทำให้อำนาจอธิปไตยตกเป็นของประชาชนภายใต้รัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ และได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทางการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ การศึกษา และวัฒนธรรมอย่างใหญ่หลวง รวมทั้งได้ก่อให้เกิดสถาบันรัฐสภา สถาบันนิติบัญญัติ บริหารบัญญัติ ตุลาการ เศรษฐกิจการเงิน การปกครอง ตลอดจนการมีส่วนร่วมและสิทธิเสรีภาพของประชาชนขึ้นตามระบอบประชาธิปไตย ที่ได้พัฒนามาตราบจนกระทั่งปัจจุบัน

.....การได้มาซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน เป็นการได้มาด้วยความเสียสละและด้วยความปรีชาสามารถของคณะผู้ก่อการอภิวัฒน์ในการวางแผนยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง ตั้งแต่ก่อนการยึดอำนาจ การยึดอำนาจโดยปราศจากการนองเลือด และแผนการดำเนินการภายหลังการยึดอำนาจไว้ได้แล้ว ซึ่งเริ่มต้นจากคนเจ็ดคน โดยการริเริ่มของนายปรีดี พนมยงค์ (หลวงประดิษฐ์มนูธรรม) ในระหว่างที่ศึกษาอยู่ในประเทศฝรั่งเศสเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๐ ร่วมด้วยร้อยโท ประยูร ภมรมนตรี ร้อยโท แปลก ขีตตะสังคะ ร้อยตรี ทัศนัย มิตรภักดี นายตั้ว ลพานุกรม หลวงสิริราชไมตรี (จรูญ สิงหเสนี) และนายแนบ พหลโยธิน โดยเมื่อเดินทางกลับประเทศไทยแล้วก็ได้ดำเนินการวางแผนขยายกำลังการจัดตั้งออกเป็นสายพลเรือนจำนวน ๔๖ คน โดยมีนายปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้า และสายทหารเรือจำนวน ๒๑ คน โดยมีนาวาตรี หลวงสินธุสงครามชัย (สินธุ กมลนาวิน) เป็นหัวหน้า จากนั้นได้รวมกลุ่มเรียกชื่อว่า “คณะราษฎร” โดยมีพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นหัวหน้าคณะ ทำการยึดอำนาจการปกครองจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ อย่างฉับพลันเมื่อเช้าตรู่วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ด้วยการอ่านประกาศหรือแถลงการณ์ของคณะราษฎรต่อหน้าทหารและประชาชนพลเรือนที่มาชุมนุมกัน ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า ประกาศยึดอำนาจการปกครองโดยปราศจากการนองเลือด (ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จแปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระราชวังไกลกังวล หัวหิน)