รศ.พิศิษฐ์ ชวาลาวัช
ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชไปสู้การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตั้งแต่พ.ศ.๒๔๗๕ เป็นต้นมา และได้มีการประกาศให้รัฐธรรมนูญเป็นครั้งแรกเรียกว่า “พระราชบัญญติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว”หลังจากนั้นเกิดการแย่งอำนาจมีการรัฐประหารจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญอีกหลายครั้งมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่และยกเลิกรวมแล้ว๑๗ ฉบับ รัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดได้แก่ รัฐธรรมนูญ ฉบับที่๑๘ และประกาศใช้เมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐ แทนรัฐธรรมนูญฉบับที่๑๗ เรียกว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๔๙รัฐธรรมนูญฉบับนี้เกิดขึ้นหลังจากการรัฐประหาร(รัฐธรรมนูญฉบับที่ ๑๖ ถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกได้วางรากฐานสำคัญในเรื่อง สิทธิ เสรีภาพ และการมีส่วนทางการเมือง)
การทำรัฐประหาร และ การแย่งอำนาจทางการเมือง อำนาจทางการเมืองไม่ยอมคืนสิทธิเสรีภาพ
ให้ประชาชนอย่างแท้จริง รัฐธรรมนูญแทบจะไม่มีหลักประกันในเรื่องนี้ การวางรากฐานปลูกฝังความคิดในเรื่องอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตยแทบไม่มีการกล่าวถึงเหมือน สื่อมวลชนภาครัฐถูกควบคุมโดยรัฐบาลทุกสมัย รัฐบาลขาดความมั่นคงในการบริหาร ประเทศไทยขาดการนำ”หลักประชาธิปไตย” มาใช้กับประชาชนแตกต่างไปจากรัฐเสรีประชาธิปไตยในภาคพื้นยุโรปและอเมริกา มีการวางพื้นฐานมั่นคงในเรื่อง หลักประชาธิปไตย และหลักนิติรัฐ ความคิดเรื่องอำนาจอธิปไตยเป็นชองประชาชนเกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ ๑๖ และ ๑๗ สังคมเชื่อนักทฤษฎีการเมืองในเรื่องนี้ การต่อสู้กับชนชั้นปกครองเกิดขึ้น เป็นการต่อสู้ระหว่างอำนาจเก่าคือชนชั้นปกครองซึ่งทีความเชื่อในเรื่อง “ทฤษฎีอำนาจนิยม กับ ประชาชนผู้มีความเชื่อและ ศรัทธาใน “ทฤษฎีเสรีนิยม” ที่สุด อิทธิพลทางความคิดตาม “ทฤษฎีเสรีนิยม” ได้รับชัยชนะและได้รับการยอมรับจากนานาประเทศเกือบค่อนโลก มองย้อนสู่ประวัติสตร์แห่งการต่อสู้ทางการเมืองของประชาชนตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๖ บ่งบอกให้เข้าใจว่า การได้รับอำนาจของชนชั้นปกครองไม่กี่คนอาจล่มสลายในที่สุดดังเช่น ความเชื่อตามทฤษฎีอำนาจนิยมเป็นความเชื่อที่สุดโต่งในเรื่องอำนาจรับจนถูกปฏิเสธจากประชาชนและสิ้นสุดในต้นศตวรรษที่ ๑๗ ความเชื่อในเรื่องอำนาจอธิปไตยเป็นของคนในประเทศจึงกลายเป็นรากฐานทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย และเป็นเหตุให้เกิดเปลี่ยนทางประวัติสาสตร์การเมืองเกือบทั่วโลก ส่งผลให้กลุ่มประเทศเหล่านั้นมีการพัฒนารากฐานสำคัญในเรื่องหลักนิติรัฐและหลักประชาธิปไตยตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๗ เป็นต้นมา ทั้งสองหลักต่างมีความเกี่ยวข้องกันสัมพันธ์เกื้อหนุนต่อโครงสร้างทางการเมืองในระบบประชาธิปไตย เศรษฐกิจ สังคม และ วัฒนธรรมนับเป็นร้อยๆปี
ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งได้รับอิทธิพลทางความคิดดังกล่าวและนำความคิดในเรื่องทฤษฎีเสรีนิยมมาใช้เพื่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจากระบอบเดิมในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ และให้หลักประกันอย่างจำกัดในหลักสิทธิเสรีภาพบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ ยกเว้น รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๔๐ ส่งผลกระทบอย่างมากต่อโครงสร้างทางการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย แม้แต่หลังเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๕ ผ่านไป จากนั้นรัฐธรรมนูญยังไม่เคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชน หลักอำนาจอธิปไตยยังไม่หลักประกัน รัฐสภาอ่อนแอไม่อาจพึ่งพิงและไม่อาจออกกฎหมายที่ดี ฝ่ายการเมืองยังมีอิทธิพลในการใช้อำนาจเกิดการทุจริตคอรัปชั่น กลไกทางกฎหมายและสังคมไม่เข้มแข็งเข้าไปทำการตรวจสอบอำนาจรัฐ รัฐบาลยังคงอ่อนแอเหมือนเดิม นักการเมืองต่างแย่งอำนาจและผลประโยชน์ประชาชนไม่มีหลักประกันทางกฎหมายในเรื่องสิทธิเสรีภาพ รัฐบาลยังคุมสื่อมวลชนภาครัฐ ภาคเอกชนไม่มีหลักประกันหลักการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ เพราะการควบคุมสื่อด้วยกฎหมายของรัฐบาลเพื่อรักษาอำนาจทางการเมืองจะทำให้สื่อมวลชนและประชาชนไม่มีสิทธิเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของทางราชการปกปิดความผิดจึงทำได้ง่าย สังคมก่อเกิดแรงกดดันทางการเมืองและถามหาอำนาจอธิปไตยเป็นของใคร และได้มีการศึกษาหาเหตุผลและปัญหาการอ่อนแอทางการเมืองไทยในระบบประชาธิปไตยก่อนมีการร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับที่๑๖ ซึ่งถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ยอมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนยกร่าง และได้มีการประกาศใช้เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๐ ลักษณะเด่นของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ลดแรงกดดันทางสังคมด้วยการเปิดกว้างให้ประชาชนทุกส่วนของประเทศเข้ามามีส่วนร่วมและมีโอกาสแสดงความคิดเห็น ส่วนการยกร่างรัฐธรรมนูญมีความประณีตอ้างอิงงานวิชาการงานวิจัยทางกฎหมายมหาชนและผู้ทรงคุณวุฒิสาขาต่างๆมาหาทางเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม แตกต่างไปจากการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้านี้ ดังเอกสารทางการศึกษาชิ้นสำคัญยกมากล่าวเฉพาะบางส่วนที่จำเป็น
จากรายงานการศึกษาของคณะกรรมการพัฒนาประชาธิปไตย ได้นำข้อเสนอกรอบคคิดในการปฏิรูปการเมืองไทยระบุประเด็นสำคัญถึงจุดอ่อนที่มีผลโดยตรงให้เกิดความอ่อนแอทางการเมือง จะขอหยิบยกมาบางเรื่องมากล่าวถึง
๑.มีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญบ่อยครั้ง(๑๕ฉบับใน๖๐ ปีเศษ) โดยไม่มีการเปลี่ยนหลักการที่เกี่ยวกับโครงสร้าง องค์กร กลไก และกระบวนการที่บรรจุอยู่ในรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับที่เป็นนัยสำคัญโดยแท้ เพื่อแก้ปัญหาของระบบอย่างแท้จริง
๒.การทุจริต คอร์รัปชั่น โดยผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและข้าราชการระดับสูงเกิดขึ้นตลอดเวลาเพราะกฎหมายให้อำนาจดุลพินิจสูง ไม่มีเกณฑ์การใช้ดุลพินิจที่วัดความถูกผิดได้อีกทั้งไม่มีระบบการตรวจสอบที่มีอิสระและมีประสิทธิภาพคนจึงอยากดำรงตำแหน่งเพื่อให้ได้อำนาจและทรัพย์สิน
๓.เมื่ออำนาจเป็นที่มาของเกียรติและเงิน การแข่งขันโดยการเลือกตั้งที่มุ่งตำแหน่งเป็นสำคัญ จึง
เป็นการแข่งขันที่ทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นการซื้อเสียงหรือวิธีอื่น
๔.ชาวบ้านในชนบทยังขาดความจำเป็นพื้นฐาน ถูกละเลยจากส่วนกลางทั้งสภาพปัญหาและการ
แก้ปัญหาของเขา ข้าราชการไม่ใช้ที่พึ่งพิงแท้จริง เข้าพบหายาก ผู้สมัครและพรรคการเมืองจึงแทรกเข้ามาแก้ปัญหาให้ด้วยการหา “ความเจริญ”ไปให้ เมื่อถึงเวลาชาวบ้านเขาก็เลือกคนที่ไปหาไปสร้างบุญคุณให้
๕.คนในเมืองที่มีฐานะเศรษฐกิจดีและมีการศึกษา ประณาม “การขายเสียง” ของชาวบ้าน และดูถูก
ผู้แทนราษฎรที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามา ไม่ศรัทธาในองค์กรการเมือง
๖.ระบบการบริหารแบบรวมศูนย์สูงสุดอยู่ที่ราชการบริหารที่กรุงเทพฯ ทำให้ปัญหาทุกปัญหาที่เกินขึ้นทุกมุมของประเทศต้องวิ่งมาให้ส่วนกลางแก้ปัญหา ปัญหาของกรุงเทพฯแท้ (การจราจร) กลายเป็นปัญหาของชาติไป การแก้ไขล่าช้า ปัญหาสะสมหมักหมมจนยากจะแก้
๗.องค์กรทางการเมืองทุกองค์กรไม่สามารถตอบสนองการแก้ไขปัญหาที่หลากหลายทั้งทาง
เศรษฐกิจ สังคมฯลฯ ได้ ไม่ว่าของคนเมือง(การจราจร สลัม สิ่งแวดล้อม)หรือชนบท(ที่ทำกิน พืชผลราคาตกต่ำ ผลิตตกต่ำ ยากจนลง) ปัญหาสั่งสมหมักหมม
๘.กฎหมายไทยส่วนใหญ่ทำให้ระบบการตัดสินใจทางการเมือง ระบบราชการ และข้าราชการมี
อำนาจดุลพินิจที่กว้างขวาง เน้น “สิทธิเด็ดขาดในทางการบริหาร” มากกว่า “หน้าที่” หรือ “ภารกิจ”เพื่อการบริหารราชการให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชน
๙.การตรากฎหมายมีแนวโน้มที่สูงขึ้น และขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน นอกจากนั้น องค์กร
วิชาชีพทั้งหลายเองก็มีส่วนร่วมทางการเมืองและการปกครองน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
๑๐.การถ่ายทอดภาพการเมืองโดยสื่อต่างๆ เน้น “ความมัน” ไม่ได้เน้น “เนื้อหา” ซึ่งถูกหาว่า
“กร่อย” ปลูกฝังความรู้สึกรุนแรงแบ่งขั้วในผู้ติดตามทางการเมือง ความขัดแย้งทางความคิดจึงถูกสร้างให้กลายเป็นความแตกแยก ความขัดแย้งกลายเป็นสินค้า(ปัจจุบันมีการใช้คำว่า “ความหลากหลาย”) ที่มีราคาดีในสังคมสารสนเทศไทย
๑๑.สื่อในสังคมไทยโดยส่วนใหญ่ยังไม่อยู่ในฐานะที่สามารถปกป้องคุ้งครองคนในสังคมได้อย่าง
เต็มที่จึงมีแนวโน้มที่จะเอารัดเอาเปรียบและเอาประโยชน์จากสังคมมากกว่าการพิทักผลประโยชน์ทางสังคม
๑๒.สังคมไทยมีความอ่อนแอทางวิชาการ(ขอเติมว่าขาดข้อมูลข่าวสารสารธารณะและทั่วไป
เนื้อหาของข่าวสารมีลักษณะคำสั่งผู้อำนาจสู่ผู้อยู่ใต้อำนาจ ขาดความเสมอภาคอย่างสิ้นเชิง)
๑๓.สังคมไทยเป็นสังคมที่มีพุทธศาสนาเป็นตัวนำ ซึ่งมีพลังทางจิตวิญญาณ สามารถนำไปใช้
ประโยชน์ได้ในระยะยาว แต่ในปัจจุบันสถาบันในพุทธศาสนา เช่น วัดความอ่อนแอลงเป็นอันมาก
เนื่องจากถูกครอบงำจากระบบที่รวมศูนย์ของราชการและอำนาจทุนในกระแสโลกาภิวัตร
๑๔.คนไทยมีความ “ศรัทธา” มากกว่าใช้ “ปัญญา” ซึ่งบางคนสามารถใช้ในการแก้ปัญหาสำเร็จ
โดยเร็ว แต่อาจไม่ถูกต้องและอาจจะไม่ได้กับทุกๆกรณีไป
ทั้งหมดนี้นำไปสู่ “ปัญหาความชอบธรรม”(legitimacy) และ “ประสิทธิภาพ”(efficiency)ของ
ระบบการเมือง ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ไม่เปลี่ยนแปลงครั้งแล้ว
ครั้งเล่า จนกว่าจุดอ่อน จะได้รับ การแก้ไขพื้นฐาน
รัฐธรรมนูญแต่ละฉบับของไทยประกาศใช้ตามการเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมตามสภาวการณ์ของบ้านเมือง แต่มีข้อน่าสังเกตว่ารัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๔๐ นั้น มีรากฐานจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทย พุทธศักราช ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่๖)พุทธศักราช ๒๕๓๙ ได้บัญญัติให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้น ประกอบด้วยสมาชิกที่ได้รับเลือกตั้งรัฐสภาจำนวนเก้าสิบเก้าคนมีหน้าที่จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้ง ฉบับเพื่อเป็นพื้นฐานในการปฏิรูป
การเมือง คณะทำงานชุดนี้ได้วางพื้นฐานสำคัญในเรื่อง “หลักประชาธิปไตย” และ “หลักนิติรัฐ”
โดยมีสาระสำคัญอยู่ ๔. ประการด้วยกันคือ
๑. ส่งเสริมและคุ้มครองเสรีภาพของประชาชน
๒.ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครอง และ
๓. ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐเพิ่มขึ้น
๔.ปรับปรุงโครงสร้างทางการเมืองให้มีเสถียรภาพและประสิทธิภาพขึ้น
ภายหลังยกร่างแล้วเสร็จรัฐสภามีมติเห็นชอบให้นำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยให้ประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญแห่ราชอาณาจักรไทยเมื่อ วันที่ ๑๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๐ เป็นต้นไป
หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวเป็นเวลา ๙ ปีต่อมา ปรากฏว่าอำนาจทางการเมืองเข็มแข็งเกิดรวมศูนย์อำนาจทางการเมืองของนักการเมืองและทุน แต่ประชาชนยังอ่อนแอทุกด้านเพราะไม่
อาจพัฒนาได้รวดเร็วเพื่อถ่วงดุลอำนาจทางการเมืองได้ แม้ประชาชนจะมีสิทธิเสรีภาพ องค์กรต่างๆถูกใช้อำนาจของรัฐบาลแต่ไม่อาจทำหน้าที่ได้ อย่างสมบูรณ์ หรือพูดง่ายๆ ว่าเติบโตไม่ทันนักการเมืองและพรรคการเมือง สื่อมวลชนถูกแทรกแซงจากอำนาจรัฐและอำนาจทุนทั้งทางตรงและทรงอ้อมทั้งๆ ที่มีหลักประกันสิทธิเสรีภาพตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญก็ตาม เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นในเชิงนโยบายสูงขึ้นกว่าอดีต การปฏิวัติรัฐประหารจึงเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งเมื่อ ๑๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๙ ก่อนที่จะมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในปีต่อมา รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นกฎหมายสูงสุดเพื่อนำไปปฏิรูปการเมืองเป็นครั้งที่ ๒ บทบัญญัติต่างๆยังคงรักษารัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๔๐ และเพิ่มมาตรการลงโทษพรรคการเมืองหากทำผิดกฎหมายเลืองตั้งเป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ประชาธิปไตย เป็นจิตวิญญาณของเรา