ยายสา
นายอภิชาต จงสกุล เลขาธิการ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมปลูกข้าวส่งออกมากที่สุดอันดับหนึ่งของโลก โดยมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวปีละประมาณ 56-58 ล้านไร่ ได้ผลผลิตปีละประมาณ 28-30 ล้านตันข้าวเปลือก อีกทั้งข้าวยังเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญที่สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศปีละประมาณ 80,000-100,000 ล้านบาท แต่กลับพบว่า อาชีพทำนาเป็นกลุ่มอาชีพที่มีฐานะยากจนมากที่สุด เมื่อเทียบกับกลุ่มอาชีพอื่นๆ ซึ่งจากการสำรวจของ สศก.ในปีการผลิต 2547/2548 พบว่า รายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 594 บาท/คน/เดือน ซึ่งยังต่ำกว่าเส้นความยากจนในปี 2548 ซึ่งมีค่า 1,230 บาทต่อเดือนต่อคน
ชาวนาไทยต้องแบกภาระความเสี่ยงกันเอาเอง โดยที่รัฐบาลไม่เคยได้เหลียวแลอย่างจริงจังและจริงใจ ไม่ว่าจะเป็นภาวะของดินฟ้าอากาศ เวลาที่น้ำท่วม ข้าวก็เสียหาย เวลาที่ฝนแล้งขาดน้ำ ข้าวในนาก็แห้งตาย แต่ก็นับว่าแปลกที่ พื้นที่สนามก๊อล์ฟไม่เคยต้องประสบวิกฤติการณ์เหล่านี้ ความที่ชาวนายากทำให้ไม่มีเงินเสียภาษี แต่ก็ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ยิ่งในภาวะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี มีการแกล้งตัดราคาข้าว ในช่วงที่ชาวนาควรจะขายข้าวได้ในราคาดี และมีการเก็บค่าภาษีหยุมหยิม ในขณะที่สมัยก่อนชาวนาไม่ต้องจ่าย
ข่าวของวันที่ 12 ก.ค. 53 นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผอ.สำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า สศค. อยู่ระหว่างศึกษาการปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและสอดคล้องกับรายจ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้น เพื่อไม่ให้กระทบต่อฐานะการคลัง สรุปคือรัฐบาลมีแนวโน้มที่จะขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เป็น 8% โดยประชาชนยากจนที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศต้องรับภาระนี้
จำได้ว่าสมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ราคาข้าวเปลือกพุ่งจาก 6,000-8,000 บาทต่อตัน โดดขึ้นเป็น 15,000-20,000 บาทต่อตัน ชาวนาลืมตาอ้าปากกันได้ แม้ต้องลำบากนอนเฝ้าข้าวเปลือกที่มีราคาเป็นเงินเป็นทอง
แต่พอมาถึงสมัยของรัฐบาลอภิสิทธิ เวชชาชีวะ ราคาข้าวเปลือก ตกต่ำถึงประมาณตันละ 6,000 บาท บางครั้งหักค่าความชื้นออกแล้ว ก็ได้ไม่ถึง 6,000 บาทด้วยซ้ำไป ในขณะที่ราคาปุ๋ยขึ้นมากระสอบละ 630 บาท และบางครั้งก็ต้องใช้ยาฆ่าแมลง แล้วยังมีราคาน้ำมันที่ถีบตัวสูงขึ้น ทั้งๆ ที่ราคาควรจะลดลง ทั้งหมดนี้ถูกผลักให้เป็นภาระของชาวนาล้วนๆ
เมื่อชาวนาประสบความล้มเหลว ก็ต้องขายที่ทำกิน เปิดโอกาสให้นายทุนไปกว้านซื้อที่ ส่วนชาวนาก็ต้องเช่าที่นาทำกิน ในที่ดินที่เคยเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง นี่เป็นสภาพที่น่าสังเวชอย่างยิ่ง ภาวะเช่นนี้ ก็เหมือนกับการที่คนไทย กัดกินเลือดเนื้อของคนไทยด้วยกันเอง
ในวันที่ 21 มิถุนายน 2553 มีการประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อกำหนดเป้าหมายการจัดทำยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาวนา และการเพาะปลูกข้าวของประเทศไทย ในหัวข้อ “ยุทธศาสตร์การอุดหนุนข้าวไทย : เพื่อชาวนา หรือเพื่อใคร” ที่มีนายสมพล เกียรติไพบูลย์ ประธานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำหน้าที่เป็นประธาน
วงสัมมนาตอบรับระบบประกันรายได้ว่า ประโยชน์ตกถึงมือชาวนามากกว่าการรับจำนำ อนึ่ง ผลการสำรวจของ ทีดีอาร์ไอ ระบุว่า ชาวนาได้ประโยช่น์จากการรับจำนำเพียง 36.8% ส่วนที่เหลืออีกมากกว่า 60% ตกอยู่ในมือคนอื่น ซึ่งหมายถึงนักการเมือง
ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร ประธานทีดีอาร์ไอ ระบุว่า ถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยจะร่วมกันล้อมกรอบนักการเมืองด้วยการลดอำนาจของพวกเขา ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับนโยบายข้าว
ความจริงในหลักธรรมาภิบาลโดยทั่วไป ผู้ที่บริหารประเทศ ต้องมีความสงสารและห่วงใยประชาชน แต่เป็นเพราะรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เข้ามาทำหน้าที่บริหารด้วยวิธีพิเศษทำให้ประชาชนเกิดความไม่พอใจ
แทนที่จะใช้ความดี ระงับความโกรธของประชาชน รัฐบาลอภิสิทธิ์กลับจัดการกับปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยการเห็นว่าประชาชน โดยเฉพาะชาวรากหญ้าเป็นศัตรู ที่ต้องทำร้าย และทำลาย อาวุธคืออำนาจรัฐที่อยู่ในมือ
นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ ดำเนินนโยบายช่วยเหลือชาวนาด้วยคำพูดที่สวยหรู แต่กลับเปิดโอกาสให้พ่อค้าคนกลางแสวงหากำไร โดยที่ชาวนาแทบไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
รัฐบาล ภายใต้การกำกับดูแลของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำให้เห็นได้ชัดว่า “นักการเมืองไทยคือตัวถ่วงความเจริญของบ้านเมือง” ประเทศไทยโชคร้ายเหลือเกินที่ผู้นำประเทศมีทัศนคติแบบนี้
ปีนี้แล้งหนัก ประกอบกับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจโลก ทำให้ชาวนาไทย ยิ่งต้องประสบปัญหาเป็นทวีคูณ
ในทางปฏิบัติรัฐบาลจะต้องเป็นฝ่ายช่วยเหลือประชาชนไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง แต่ในภาวะปัจจุบันรัฐบาลกลับผลักภาระทั้งหมดให้กับเอกชนและภาคธุระกิจ โดยแสดงให้เห็นว่า ภารกิจหลักของรัฐบาลในยุคของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นอกจากการกู้เงินมาถลุงแล้ว ก็มีเพียงการไล่ล่าและทำลายผู้ที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกับรัฐบาล นี่เป็นการกระทำที่แสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง แต่หากใครนำเอาความจริงนี้มาพูด รัฐบาลจะกล่าวทันทีว่า เป็นคำพูดที่บิดเบือนและอาจมีโทษ!!! รัฐบาลอภิสิทธิ์ทำให้ประชาชนในประเทศตกอยู่ในภาวะหวาดกลัว ทำให้สงสัยว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์จะโกงกินอย่างไรก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องฟังเสียงประชาชน
ปัญหาปากท้องของประชาชนในรัฐบาลปัจจุบัน คือรัฐบาลเห็นว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่ได้รับความทุกข์ทนเป็นฝ่ายตรงข้าม และเป็นกลุ่มชนที่รัฐบาลไม่ให้ความเหลียวแล ส่วนคำพูดสวยหรูนั้น รัฐบาลมุ่งหวังดูแลเฉพาะกลุ่มชาวบ้านที่ยอมลงให้กับพรรคร่วมรัฐบาล นี่เป็นวิธีการที่รัฐบาลใช้อำนาจรัฐขจัดฝ่ายที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกับรัฐบาล
วิธีแก้ปัญหาโดยตรง คือต้องรอจนกว่า ชนชั้นกลาง และชนชั้นสูงของประเทศจะเห็นว่า เมื่อชนชั้นล่างเขยิบฐานะดีขึ้น ย่อมเป็นการเกื้อหนุนให้เกิดความมั่นคงในเสถียรภาพของประเทศ เมื่อใดที่ความหายนะมาเยือนกระบวนการทำนาของไทย นั่นย่อมหมายถึงความหายนะของคนทั้งประเทศ ยิ่งมีคนจนมากเท่าไร ประเทศจะปราศจากความสงบสุข เกิดมีการขโมยขโจร ฉกชิงวิ่งราวและความวุ่นวายโดยทั่วไป
เมื่อใดที่ ชนชั้นกลาง และชนชั้นสูง เกิดตรัสรู้ และคิดออกดังนี้ ก็คงจะเกิดกระบวนการ โอบอุ้ม ปกป้อง และพยุงฐานะของชาวนา ให้สมกับที่เป็นกระดูกสันหลังของชาติ และเป็นกลุ่มชนผู้มีพระคุณ ดูแลคนทั้งประเทศมาช้านาน
อ้างอิงข่าวจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
วันอังคารที่ 22 มิถุนายน 2553 หน้า 8 ข่าวเศรษฐกิจ “ยุทธศาสตร์ข้าวไทยไร้ทิศทาง”
วันพุธที่ 23 มิถุนายน 2553 หน้า 8 ข่าวเศรษฐกิจ “ไฟลนก้น : สินค้าข้าวไทยจ่อปากเหว”
********************
หมอชาวนา มีผลงานวิจัยอิสระเรื่อง ปัญหาความยากจนของเกษตรกร โดยเฉพาะกลุ่มชาวนา พบวิธีแก้ไขปัญหาง่าย ๆ หลายแนวทาง สามารถทำให้เกษตรกรรวยกว่าพ่อค้า ดีกว่าข้าราชการ ได้มากกว่ากองทุนเงินล้าน มีเงินให้รัฐบาลกู้ยืม รวยจากการให้ ได้จากความสามัคคี ยิ่งนานยิ่งรวย รวยด้วยศักยภาพและการพึ่งพาตนเอง ทุกปัญหามีคำตอบ แม้จะเป็นปัญหายุทธศาสตร์ขนาดใหญ่แต่ก็เป็นได้แค่เส้นผมบังภูเขา โอกาสเราสร้างเองได้ และชัยชนะเราสามารถสร้างขึ้นได้ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว ชนะแบบไม่ต้องออกแรงสู้ อยู่เฉย ๆ ก็ชนะ หรือชนะทางยุทธศาสตร์ ชนะโดยไม่ต้องรบ ปราบทุจริตให้สิ้นไป ไม่เกิดความสิ้นเปลืองเสียหาย ขอเชิญผู้มีเกียรติทุกท่านที่สนใจการแก้ไขปัญหาลองเข้าไปอ่านในอินเทอร์เน็ตหัวข้อ msgent of thai สงสัยติดต่อสอบถาม msgent6@gmail.com
ตอบลบ