นักปรัชญาชายขอบ
เริ่มจะเป็นไปตามที่คาดกันแล้วครับ พรรคการเมืองที่ได้เสียงส่วนใหญ่มาจากประชาชนกำลัง “ถูกบล็อก” ด้วย “เสียงส่วนน้อย” นั่นคือจากนี้ไปคุณจะคิด จะทำ จะขยับซ้าย ขวา คุณต้องเงี่ยหูฟังว่า อภิสิทธิชน อำมาตย์ กองทัพ นักวิชาการ ปัญญาชน สื่อ ที่มี “ต้นทุนทางสังคม” มากกว่า เสียงดังกว่า มีช่องทางการ “ส่งเสียง” มากกว่า พวกเขาจะเสนอให้ทำอะไรและอย่างไรการเมืองกำลังเดินเข้าสู่เกมการชิงพื้นที่ “ส่งเสียง” เพื่อสร้าง “สงครามวาทกรรม” รอบใหม่ โดยลืมไปว่าการเลือกตั้ง 3 ก.ค. เป็นการเลือกตั้งที่ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์มากที่สุด เป็นการเลือกตั้งในกระแสประวัติศาสตร์การปฏิเสธรัฐประหารและการเรียกร้อง “การเปลี่ยนผ่านสังคมสู่ความเป็นประชาธิปไตย”
และเสียงส่วนใหญ่ที่เลือกพรรคเพื่อไทยก็สะท้อนความต้องการของประชาชนที่ปฏิเสธรัฐประหาร และต้องการสร้างการเปลี่ยนผ่านสังคมสู่ความเป็นประชาธิปไตยอย่างชัดเจน ซึ่งความต้องการดังกล่าวย่อมผนึกรวมความต้องการความยุติธรรมแก่ 91 ศพ คนบาดเจ็บพิการ และการปฏิรูปกองทัพ ปฏิรูปกติกาเกี่ยวกับสถานะ อำนาจ บทบาทขององคมนตรี และสถาบันพระมหากษัตริย์ให้สอดคล้องกับหลักเสรีภาพ หลักความเสมอภาค เพื่อปิดประตูรัฐประหารอย่างถาวร
หากความต้องการดังกล่าวของเสียงส่วนใหญ่ไม่ได้รับการตอบสนอง การเลือกเลือกก็จะมีความหมายแค่การเปลี่ยนรัฐบาลจาก “ประชาธิปัตย์” มาเป็น “เพื่อไทย” เพียงเพื่อให้มาทำนโยบายแก้ปัญหาเศรษฐกิจไปเท่านั้น ส่วนปัญหาการเปลี่ยนผ่านสังคมให้เป็นประชาธิปไตยภายใต้เงื่อนไขการให้ความยุติธรรมแก่ประชาชนที่บาดเจ็บล้มตาย เงื่อนไขการปฏิรูปกองทัพ ปฏิรูปสถาบัน ต้องขึ้นอยู่กับ “เสียงส่วนน้อย” ว่าจะยินยอมหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนี้ก็บอกได้เลยว่า “ประชาชนตายฟรี” เหมือนกับที่ตายฟรีมาหลายครั้งแล้ว
ตอนนี้ “เสียงส่วนน้อย” เริ่มดาหน้าออกมา “ส่งเสียง” ดังขึ้นๆ แล้ว เช่น
1. พรรคที่เป็นรัฐบาลถ้าต้องการปรองดองต้องหยุดพูดเรื่อง “นิรโทษกรรม”
2. ต้องไม่ตั้งแกนนำเสื้อแดงเป็นรัฐมนตรี
3. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ สรุปว่าการสลายการชุมนุมด้วย “กระสุนจริง” ของรัฐบาลอภิสิทธิ์เป็นการกระทำที่ควรแก่เหตุ ไม่ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
4. คุณทักษิณต้องเสียสละตัวเอง ไม่ต้องกลับประเทศไทยอีก เพราะจะทำให้เกิดความแตกแยก
5. คุณยิ่งลักษณ์ต้องตัดขาดจากคุณทักษิณ
6. ฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์กำลังรวบรวมข้อมูลเพื่อฟ้องยุบพรรคเพื่อไทย ด้วยข้อกล่าวหาเรื่อง “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ”
7. มีการเรียกร้องการปรองดองโดยให้ลืมเรื่องเก่า สร้างสิ่งใหม่ๆ ที่ดีกว่า แต่ไม่มีคำตอบเรื่องความยุติธรรม การปฏิรูปกองทัพ ฯลฯ
ในประเทศนี้ “เสียงส่วนน้อย” เช่น พวกนักวิชาการ ปัญญาชน สื่อ ที่มีต้นทุนทางสังคม มีเวทีการส่งเสียงมากกว่า และดังกว่า “เสียงส่วนน้อย” เหล่านี้ไม่เคยลงไปทำความเข้าใจจริงๆ ว่า เสียงส่วนใหญ่ของประชาชนที่เลือกรัฐบาลมาต้องการอะไร การแสดงออก 7 ข้อ เป็นต้นนั้น บ่งชี้อย่างชัดเจนว่า พวกเขาสรุปง่ายๆ ว่า เสียงส่วนใหญ่เป็นแค่ “เครื่องมือทางการเมือง” ไม่ได้มี “เจตจำนงอิสระ” ของตนเอง
พูดอีกอย่างว่า เจตจำนงอิสระของเสียงส่วนใหญ่ที่ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเพราะต้องการความยุติธรรม ต้องการเปลี่ยนผ่านสังคมสู่ความเป็นประชาธิปไตย กำลังถูกเสียง “ส่วนน้อย” ที่ดังกว่าบิดเบือนด้วย “วาทกรรมปรองดอง” ซึ่งความหมายจริงๆ ของการปรองดองที่พวกเขาต้องการให้เกิด คือ “การยอมทำตามข้อเสนอของเสียงส่วนน้อย และอย่าไปฟื้นฝอยหาตะเข็บกับกองทัพ และอำมาตย์”
“อคติ” ที่เห็นอย่างชัดเจนคือ เสียงส่วนน้อยที่เรียกร้องการปรองดองในความหมายดังกล่าวสร้างเงื่อนไขว่า “นักการเมืองที่ถูกทำรัฐประหารต้องเสียสละตนเอง” แต่พวกเขาไม่เรียกร้องให้ฝ่ายที่ทำรัฐประหารต้องเสียสละใดๆ
ไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขาจะเรียกร้องให้เอาผิดกับฝ่ายที่ทำรัฐประหารเลยครับ (ยอมรับการนิรโทษกรรมตัวเองของฝ่ายรัฐประหารโดยไม่ตั้งคำถามสักแอะ) แม้แต่จะเรียกร้องให้ฝ่ายทำรัฐประหาร “เสียสละตัวเองบ้าง” โดยยอมรับการปฏิรูปกองทัพ ปฏิรูปกฎหมายเกี่ยวกับสถานะ อำนาจ บทบาทขององคมนตรี และสถาบัน พวกเขาก็ไม่เคยเรียกร้อง (อย่าว่าแต่จะเรียกร้องความรับผิดชอบต่อการสังหารหมู่กลางเมือง 91 ศพ เลย)
สำหรับนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งและถูกทำรัฐประหาร “เสียงส่วนน้อย” เหล่านี้จะเรียกร้องมากขนาดไหนก็ได้ เรียกร้องโดยไม่ต้องคำนึงถึง “สามัญสำนึกในความยุติธรรม” ใดๆ เลยก็ได้ เช่น “มึงอย่ากลับประเทศไทยนะ อย่ากลับมาบ้านเกิดเมืองนอนของมึงอีกนะ หรือให้มึงตายอยู่ต่างประเทศเลยนะ” ฯลฯ
แต่สำหรับฝ่ายทำรัฐประหาร อำนาจนอกระบบ พวก “เสียงส่วนน้อย” เหล่านี้ กลับไม่กล้าแม้แต่จะเรียกร้องให้พวกเขา “เสียสละตัวเองบ้าง” เพื่อเข้าสู่กระบวนการปฏิรูปกติกาเกี่ยวกับสถานะ อำนาจ และบทบาทของพวกเขาให้อยู่ภายใต้หลักการพื้นฐานของประชาธิปไตย
เป็นไปได้อย่างไรครับ “เสียงส่วนน้อย” ที่เคารพ พวกคุณเรียกร้องให้ฝ่ายนักการเมือง ฝ่ายประชาชนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต้องเสียสละอย่างไม่มีขีดจำกัด (เช่นไม่ต้องกลับประเทศ ฯลฯ) ทั้งที่พวกเขาเสียสละมามากแล้ว เสียสละชีวิตไปแล้วเกือบร้อยชีวิต (ถ้านับ 14 ตุลา 6 ตุลา พฤษภา 35 ตายฟรีไปแล้วเท่าไรแล้ว) แต่กลับไม่เรียกร้องให้อีกฝ่ายยอม “เสียสละตัวเองบ้าง” เลย
ฉะนั้น ผมจึงงวยงงอย่างยิ่งกับ “วาทกรรมปรองดอง” ของ “เสียงส่วนน้อย” (ที่ดังกว่าเสียงส่วนใหญ่) ในประเทศนี้ ที่คำนึงถึงแค่การประนีประนอมของ “ขั้วอำนาจ” ต่างๆ แคร์เฉพาะการปั่นกระแสของกลุ่มการเมืองบางกลุ่ม แต่ไม่ยอมนับ “ความต้องการ” ของเสียงส่วนใหญ่ที่ต้องการเปลี่ยนผ่านสังคมสู่ความเป็นประชาธิปไตย
ที่สำคัญพวกคุณไม่สนใจว่า “ความอยูติธรรม” ที่เห็นอยู่ตำตาจะแก้อย่างไร คนไม่ได้รับความเป็นธรรมเขาควรได้รับความยุติธรรมอย่างไร และประเทศนี้ควรจะอยู่กันด้วยหลักการ กาติกาแบบไหน ปรองดองมันจำเป็นต้องไม่เถียงกันในปัญหาพื้นฐานหลักๆเหล่านี้จริงหรือครับ “เสียงส่วนน้อย” ที่เคารพ
ปล. “เสียงส่วนน้อย” ที่เคารพ เมื่อไรพวกคุณจะเลิกพูด “ความเสมือนจริง” มาพูด “ความจริง” กันอย่างตรงไปตรงมาเสียทีครับ!
ที่มา : ประชาไท
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ประชาธิปไตย เป็นจิตวิญญาณของเรา