ผมนั่งอยู่ในห้องกรงขังเหล็กแน่นหนา ที่เรียกกันว่าคุก ผมสูญเสียอิสรภาพ ถูกกักขังโดดเดี่ยว ตัดขาดจากโลกภายนอก เป็นความทุกข์ทรมาน ทั้งร่างกายและจิตใจอย่างไม่เคยมีมาก่อนในชีวิต
ถ้าหากผมเป็นอาชญากรหรือฆาตกรกระทำความผิดให้ผู้อื่นตายหรือ ปล้นทรัพย์ หรือกระทำผิดศีลธรรมร้ายแรง ผมสมควรรับโทษทัณฑ์ สมควรทุกข์ทรมาน ในฐานะกระทำความผิดหรือทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
แต่ผมได้ทำหน้าที่สื่อสารมวลชน แสดงความคิดเห็นอิสระ นำเสนอความจริง วิพากษ์วิจารณ์สังคม-การเมือง อันเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ผมได้ใช้วิชาชีพสื่อมวลชน อย่างเป็นอิสระ เพื่อให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงพัฒนาก้าวหน้า หรือมีความเสมอภาคเท่าเทียม ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี
ผมได้ทำหนังสือพิมพ์ เป็นสื่อกลางให้ผู้คนได้แสดงความคิดเห็น เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองโดยปราศจากความกลัวหรือต้องถูกจำกัดความคิด
ผลของการทำหน้าที่ตามสิทธิอันพึงมีพึงได้ และทำงานตามจิตวิญญาณอิสระของศักดิ์ศรี ความเป็นคน ผมจึงถูกกล่าวหา และถูกจองจำ ให้ได้รับความทุกข์ทรมาน
มีอีกหลายคนที่ต้องกลายเป็นเหยื่อ ของอำนาจป่าเถื่อน ของความคิดคับแคบเห็นแก่ตัวเพียงเพื่อรักษาอำนาจและความเป็นอภิสิทธิชน
ความทุกข์ทรมานและความเจ็บปวดรวดร้าวของชีวิตครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ถูกจองจำเท่านั้น แต่ที่เจ็บปวดและคับแค้นใจก็คือ ไม่ใช่แค่การใช้กฏหมายไม่เป็นธรรมรังแกผมเท่านั้น ยังบิดเบือนความจริงอย่างน่าเกลียดอีกด้วย เช่น การไม่ให้ประกันตัว อ้างว่า ผมกำลังหลบหนีเดินทางไปต่างประเทศ
ผมไม่ทราบมาก่อนเลยว่ามีหมายจับ ในข้อหา ดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ตามมาตรา 112 ประมวลกฏหมายอาญา ผมจึงใช้ชีวิตตามปกติ หาเช้ากินค่ำ ทำงานตั้งแต่เช้าจรดเย็น และเข้าร่วมการเคลื่อนไหวทางสังคมการเมือง
ผมมีอาชีพสื่อสารมวลชนและทำธุรกิจท่องเที่ยว ในวันที่ 30 เมษายน 2554 ผมพาคณะนักท่องเที่ยวชาวไทย 30 คน ไปเที่วนครวัต ประเทศกัมพูชา ซึ่งจัดไปทุกเดือน ผมเข้าช่องตรวจเอกสารเดินทางตามปกติ ไม่ได้เป็นการหลบหนี
ผมเคยถูกกล่าวหาในคดีการเมืองหลายคดีแต่ไม่เคยหลบหนี ผมต่อสู้ทุกคดี เพราะผมมั่นใจในความบริสุทธิ์ใจ และเชื่อว่ายังมีความยุติธรรมหลงเหลืออยู่บ้าง
ผมไม่คิดหลบหนี แม้ว่าจำต้องถูกจองจำ ก็เพื่อจะต่อสู้กับอำนาจฉ้อฉล ต่อสู้กับการบิดเบือน และต่อสู้กับอำนาจเผด็จการของชนชั้นปกครอง
ผมอาจถูกจองจำถูกทรมานถูกลงโทษแต่ผมได้ทำหน้าที่ของชีวิตอิสระได้ ทำหน้าที่ยังประโยชน์ให้กับสังคม ผมจึงพร้อมต่อสู้กับอำนาจฉ้อฉลแม้ว่าจะต้องถูกจับเข้าคุก
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ประชาชน ซึ่งต้องการความเสมอภาคเท่าเทียม ความเป็นธรรม และประชาธิปไตย โดยได้แสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์โต้แย้งกับผู้ปกครองที่อ้างตนเองมี คุณธรรมสูงสุดในสังคม แต่เป็นปัญหาของกฏหมายเผด็จการ นั่นคือ มาตรา 112 นั้น เป็นกฏหมายไม่เป็นธรรม เป็นเครื่องมือทำลายบุคคลอื่นทางการเมืองและจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน
มีหลายคน กลายเป็นเหยื่อของมาตรา112 ต้องสูญเสียอิสรภาพ ต้องถูกจับกุมคุมขัง ถูกกล่าวหา ถูกทำลายกระทั่งถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม
ผมจึงออกมาต่อสู้ เรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา112นี้ไปเสีย ด้วยการจัดตั้ง เครือข่ายประชาธิปไตย รวบรวมประชาชนเข้าชื่อกัน 10,000 ชื่อขึ้นไป เพื่อขอให้รัฐสภา แก้ไขมาตรา 112 เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ 2550
ดังที่กล่าวมาแล้วมาตรา112 มีความคลุมเครือ มีช่องว่างให้พวกอำนาจฉ้อฉล นำมาใช้เล่นงาน และปราบปรามประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สังคมไทยขณะนี้ มีความขัดแย้งกันมาก การจับกุมครั้งนี้ เป็นการดึง สถาบันกษัตริย์ มาเผชิญหน้ากับประชาชน
ก่อนหน้านี้ มีการกล่าวหาแกนนำ เสื้อแดง ด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามมาด้วยปิดวิทยุชุมชน ปิดเวปไซต์ ปิดกั้นการรับรู้ของประชาชน จนในที่สุด จับกุมผม ทำเป็นคดีอย่างไม่เป็นธรรม
ผมเป็นเพียงเหยือ ของกฏหมาย ไม่เป็นธรรม เป็นเหยื่อของเกมการเมืองที่กำลังห้ำหั่นแย่งชิงอำนาจรัฐระหว่างผ่าย ประชาธิปไตยกับฝ่ายเผด็จการ ผ่านรูปแบบการเลือกตั้งผมเป็นบุคคล ที่พวกมีอำนาจฉ้อฉลที่ชอบแอบอ้างศีลธรรมและบุญบารมี ต้องการให้ผมอยู่ในความผิด เพื่อรักษาอำนาจฉ้อฉลให้ยาวนาน ต่อไป
ผมไม่ใช่เหยื่อรายสุดท้าย ตราบเท่าที่เรายังอยู่ภายใต้การปกครอง ที่เนื้อแท้เป็นเผด็จการ แต่เปลือกนอกฉาบด้วย คำว่าประชาธิปไตย ไว้หลอกลวงชาวโลก
ผมจะต่อสู้ให้ได้รับเสรีภาพตราบจนลมหายใจสุดท้าย ผมยอมเสียอิสรภาพ แต่จะไม่ยอมเสียความเป็นคนอย่างแน่นอน
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
ห้องขัง กองปราบ
2 พ.ค.2554 8.30 น.
วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ประชาธิปไตย เป็นจิตวิญญาณของเรา