เครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคม เลขทะเบียน ๘๖๙ สภาพัฒนาการเมือง สถาบันพระปกเกล้า

อุดมการณ์สถานักพัฒนาเพื่อประชาธิปไตย

เรา...มั่นใจว่า
ประชาธิปไตย เป็นจิตวิญญาณของเรา
ประเทศไทย เป็นของเราทุกคน
เรา ต้องร่วมกันสร้างชาติไทย ให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์

ขอไว้อาลัยต่ออการจากไปของ ดร.พีรพันธ์ พาลุสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ขอไว้อาลัยต่ออการจากไปของ ดร.พีรพันธ์  พาลุสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

“ยุบสภาผู้แทนราษฎร”

โดย ศ.ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์
การยุบสภาผู้แทนราษฎรไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ หากไปดูประวัติของการยุบสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทยก็จะพบว่าเกิดขึ้นมาแล้ว 12 ครั้งแล้ว ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2481 โดยมีพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนครั้งสุดท้าย นายกรัฐมนตรีผู้ใช้อำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎรในปี พ.ศ. 2549 คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

การยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นกลไกสำคัญกลไกหนึ่งของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยภายใต้ระบบรัฐสภา มีขึ้นเพื่อให้ฝ่ายบริหารสามารถ “ควบคุม” การทำงานของสภาผู้แทนราษฎรได้ โดยเหตุผลดั้งเดิมของการยุบสภาผู้แทนราษฎรก็เพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นในการทำงานระหว่างรัฐบาลกับรัฐสภาหรือระหว่างสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วยกันเอง

แต่อย่างไรก็ตาม เท่าที่ทราบไม่เคยมีรัฐธรรมนูญของประเทศไทยฉบับใดเลยที่กำหนดถึง “เหตุ” ที่นายกรัฐมนตรีจะนำมาใช้เพื่อเป็น “ฐาน” ในการยุบสภา คงบัญญัติไว้คล้าย ๆ กันคือพระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เท่านั้นเอง ซึ่งในต่างประเทศก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน เพราะฉะนั้น การยุบสภาผู้แทนราษฎรจึงเป็นดุลพินิจของฝ่ายบริหาร เป็นเครื่องมือที่ฝ่ายบริหารใช้ในการควบคุมการทำงานของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รวมทั้งยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้พรรคร่วมรัฐบาลสามัคคีกันอีกด้วย

ในทางทฤษฎีของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยภายใต้ระบบรัฐสภานั้น แต่เดิมการยุบสภาผู้แทนราษฎรจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อสภาผู้แทนราษฎรไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เช่น ทะเลาะกันเอง ขาดประชุมบ่อยจนทำให้เกิด “สภาล่ม” หรือมิเช่นนั้นก็ไม่ยอมออกกฎหมายที่รัฐบาลมีความจำเป็นต้องใช้ ทำให้รัฐบาลทำงานไม่ได้ เหตุผลเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเหตุผลที่ถูกนำมาใช้เพื่อเป็นเหตุแห่งการยุบสภาผู้แทนราษฎรในอดีตที่ผ่านมาทั้งสิ้น แต่ในปัจจุบัน เหตุแห่งการยุบสภาผู้แทนราษฎรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม การยุบสภาผู้แทนราษฎรเกิดขึ้นด้วยเหตุผลอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดการยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อชิงความได้เปรียบทางการเมือง

ในสมัยที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีได้ใช้อำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2526 โดยปรากฏเหตุผลอยู่ในพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรว่า จำเป็นต้องยุบสภาผู้แทนราษฎรเพราะอาจเกิดความขัดแย้งและความรุนแรงอันเนื่องมาจากวิธีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบใหม่ เช่นเดียวกับการยุบสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นได้ให้เหตุผลของการยุบสภาไว้ในพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2549 ว่า

“...ต่อมาได้เกิดการชุมนุมสาธารณะตั้งข้อเรียกร้องในทางการเมืองขึ้น ซึ่งแม้ระยะแรกจะอยู่ในกรอบของกฎหมาย แต่เมื่อนานวันเข้า การชุมนุมเรียกร้องได้ขยายตัวไปในทางที่กว้างขวางและอาจรุนแรงขึ้น รวมทั้งส่อเค้าว่าจะมีการเผชิญหน้าจนอาจปะทะกับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย และอาจมีการสอดแทรกฉวยโอกาสจากผู้ที่ประสงค์จะเห็นความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมืองจุดชนวนให้เกิดความรู้สึกที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน จนลุกลามถึงขั้นก่อการจลาจลวุ่นวายสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ ครั้นใช้อำนาจเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองเข้าควบคุมดูแลอย่างเข้มงวดหรือแม้แต่รัฐบาลได้พยายามดำเนินการตามวิถีทางรัฐธรรมนูญด้วยการขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติในที่ประชุมรัฐสภาแล้ว ก็ยังไม่อาจแก้ไขปัญหาและความคิดเห็นพื้นฐานที่แตกต่างกันทั้งระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องกับรัฐบาล และระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องกับกลุ่มอื่น ๆ ที่ไม่เห็นด้วยและประสงค์จะเคลื่อนไหวบ้างจนอาจเกิดการปะทะกันได้

สภาพเช่นว่านี้ย่อมไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยภายใต้ระบบรัฐสภา และความสงบเรียบร้อยของสังคม โดยเฉพาะในขณะนี้ ซึ่งควรจะสร้างความสามัคคีปรองดอง การดูแลรักษาสภาพของบ้านเมืองที่สงบร่มเย็นน่าอยู่อาศัยน่าลงทุน และการเผยแพร่ความวิจิตรอลังการ ตลอดจนความดีงามตามแบบฉบับของไทยให้เป็นที่ประจักษ์ เมื่อปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นความคิดเห็นในสังคมที่หลากหลายและยังคงแตกต่างกันจนกลายเป็นความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรงเช่นนี้

ครั้นจะดำเนินการเพื่อตรวจสอบความประสงค์อันแท้จริงของประชาชนโดยประการอื่น เพื่อให้ทุกฝ่ายหยั่งทราบแล้วยอมรับให้เป็นไปตามกลไกในระบอบประชาธิปไตยก็ทำได้ยาก ทางออกในระบอบประชาธิปไตยที่เคยปฏิบัติมาในนานาประเทศ และแม้แต่ในประเทศไทยคือการคืนอำนาจการตัดสินใจทางการเมืองกลับไปสู่ประชาชนด้วยการยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไปขึ้นใหม่ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป”

จากตัวอย่างทั้งสอง การยุบสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทยจึงมิได้จำกัดเฉพาะข้อขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับรัฐสภาหรือข้อขัดแย้งภายในรัฐสภาเท่านั้น แต่การยุบสภาผู้แทนราษฎรอาจเกิดขึ้นได้จากเหตุผลร้อยแปดที่ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับรัฐบาลและรัฐสภาเลยก็ว่าได้ครับ

ในต่างประเทศก็เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษหรือฝรั่งเศส หลาย ๆ ครั้งเกิดการยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อหาทางออกให้กับปัญหาทางการเมือง

เพราะฉะนั้น การยุบสภาผู้แทนราษฎรจึงเป็นการกระทำที่ “ไม่มีเหตุผลเฉพาะ” กำหนดเอาไว้ที่ใดเลย เป็นเพียงประเพณีทางการเมือง ซึ่งประเพณีทางการเมืองก็เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ในวันนี้ จึงเกิดการยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อแก้ปัญหาทางการเมืองหรือการยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อชิงความได้เปรียบทางการเมืองขึ้น

การยุบสภาผู้แทนราษฎรจะมี “ข้อดี” หรือไม่ผมไม่ทราบ ต้องถามนายกรัฐมนตรีว่าประสงค์ต่อผลเช่นไรจึงยุบสภาผู้แทนราษฎร แต่สำหรับผมนั้น การยุบสภาผู้แทนราษฎรเกิดผลกระทบอย่างมากต่อประเทศชาติเพราะทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารย่อมไม่สามารถทำงานใด ๆ ได้เช่นปกติ และนอกจากนี้แล้ว การเลือกตั้งแต่ละครั้งก็ต้องใช้งบประมาณมากถึง 4 พันล้านบาท เกิดความสิ้นเปลืองต่องบประมาณของประเทศโดยไม่จำเป็นครับ

ส่วนผลที่เกิดขึ้นจากการยุบสภาผู้แทนราษฎรนั้น ในทางทฤษฎี หากการยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นไปเพื่อหาทางออกให้กับข้อขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับสภาผู้แทนราษฎรหรือระหว่างสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแต่ละกลุ่มแต่ละพรรค แน่นอนว่าประชาชนจะเป็นผู้ชี้ว่า ข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นนั้นใครถูกใครผิด เพราะหากประชาชนเห็นด้วยกับฝ่ายใดก็เลือกฝ่ายนั้นเข้ามาใหม่

แต่ถ้าหากการยุบสภาผู้แทนราษฎรเกิดขึ้นด้วยเหตุผลอื่นเช่นเพื่อชิงความได้เปรียบทางการเมือง ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันกับคำกล่าวที่ว่า นี่คือคืนอำนาจให้กับประชาชน เพราะในฐานะประชาชนผมก็ไม่แน่ใจว่าจะเลือกฝ่ายใดเข้ามาเพราะมองไม่เห็นข้อขัดแย้งใด ๆ ที่เกิดขึ้นจนนำไปสู่การยุบสภาผู้แทนราษฎร ตรงกันข้ามกลับรู้สึกเสียดายเงินหลายพันล้านบาทที่ประเทศชาติต้องเสียไปกับการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่ยังไม่ถึงเวลาครับ !!!

จากที่กล่าวไปทั้งหมด เห็นได้ว่า การยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นอำนาจดุลพินิจของฝ่ายบริหารที่กว้างมาก มากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวัน ทั้งนี้ เนื่องมาจากประเพณีปฏิบัติทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปและการที่รัฐธรรมนูญมิได้กำหนดเหตุผลของการยุบสภาผู้แทนราษฎรเอาไว้ว่าสามารถทำได้ในกรณีใดบ้าง

จึงมาสู่คำถามที่สำคัญคือ “ควรมีข้อจำกัดในการใช้อำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่” ครับ !!!

ในส่วนตัวแล้ว ผมไม่แน่ใจว่าควรมีข้อจำกัดในการใช้อำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ เพราะเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องใหญ่และต้องใช้เวลาศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบ การเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ “ตายตัว” ว่านายกรัฐมนตรีจะใช้อำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎรในกรณีใดได้บ้าง แม้จะมี “ส่วนดี” คือมีการกำหนดกติกาไว้อย่างชัดเจน อย่างน้อยก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อสร้างความได้เปรียบให้กับตัวเอง

แต่ “ส่วนเสีย” ก็มีอยู่ เพราะหากเกิดข้อขัดแย้งที่หาทางออกใด ๆ ไม่ได้ เช่นข้อขัดแย้งทางการเมืองที่ประชาชนต้องการให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่แต่ “เหตุผล” ของประชาชนไม่สอดคล้องกับ “เหตุผล” ของการยุบสภาผู้แทนราษฎรที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ “ทางตัน” ก็จะเกิดขึ้นและหากหาทางออกจาก “ทางตัน” ดังกล่าวไม่ได้ ความโกลาหลวุ่นวายครั้งใหญ่ก็จะตามมา

แต่ผมคิดว่า ควรมีมาตรการบางอย่างสำหรับนำมาใช้ประกอบกับอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎร เช่น ก่อนใช้อำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎร นายกรัฐมนตรีต้องปรึกษาหารือกับประธานวุฒิสภาหรือประธานศาลรัฐธรรมนูญก่อนเพื่อความรอบคอบ หรือในกรณีที่หากมีการกำหนดเหตุผลของการยุบสภาผู้แทนราษฎรไว้ในรัฐธรรมนูญ ก็อาจกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญด้วยว่าต้องส่งร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบก่อนว่าเหตุผลในการยุบสภาผู้แทนราษฎรนั้นเป็นเหตุผลที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญหรือไม่

ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อ “ประโยชน์” ของผู้มีอำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎรแต่ผู้เดียว !!!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ประชาธิปไตย เป็นจิตวิญญาณของเรา