...เมื่อฝ่ายปฏิรูปแพ้เกม การเมือง ฮ่องเต้ถูกรอนอำนาจจนไม่เหลืออะไรเลยแล้ว เหวินซิ่วจึงหมดอาลัยตายอยากในชีวิต เพราะรู้แล้วว่าไม่มีทางที่จะปกป้องประชาราษฎรได้ต่อไป
ปราชญ์ขงจื๊อผู้นี้ยึดมั่นหลักการ เช่นนี้มาจนถึงท้ายเรื่อง ในท่ามกลางความโดดเดี่ยว เขาปรึกษาปัญหาการเมืองกับน้องสาวต่างบิดามารดาซึ่งเป็นลูกกำพร้าที่มารดา ของเขาชุบเลี้ยงมาแต่เล็ก ไม่มีการศึกษาแบบเขา จึงเหมือนชาวบ้านทั่วไป เพียงแต่รักนับถือเขาและครอบครัวของเขาอย่างสูงเท่านั้น
น้องสาวของเขาตอบว่า เธอไม่รู้อะไรหรอก ก่อนที่เธอจะตามเหวินซิ่วมาใช้ชีวิตในเมืองหลวง เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีราชวงศ์ชิง มีฮ่องเต้ มีไทเฮา โลกของเธอมีความสุขอยู่กับครอบครัวของแม่และพี่ชายสองคนนี้เท่านั้น
และเท่านั้นเองเหวินซิ่วก็ "ตาสว่าง" เขาตะโกนบอกตัวเองเหมือนบ้าคลั่งว่า ใช่แล้วๆ เขาเพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่า "ไม่มีต้าชิง ไม่มีฮ่องเต้ ราษฎรก็ไม่เป็นไร"
จีนจะอยู่รอดได้ก็เพราะคนจีนเอง ไม่เกี่ยวกับกวางสู่หรือซูสี เพราะ "ไม่มีจักรพรรดิผู้ปรีชา ไม่มีประมุขโปรดสัตว์"
ผมได้แต่น้ำตาไหลพรากโดยไม่รู้สึกตัว
(นิธิ เอียวศรีวงศ์, ซูสีไทเฮา, มติชนสุดสัปดาห์)
"ทัดดาว...เธอประเมินฉันและเพื่อนของ ฉันที่รักชาติบ้านเมืองต่ำเกินไปแล้ว ประเทศชาติของเรา บรรพบุรุษได้ช่วยกันปกปักรักษา เสียเลือดเสียเนื้อมิใช่เบา หน้าที่เรารักษาสืบไป -เข้าใจว่าอันนี้ดาวพระศุกร์ละเมอออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ฟังเพลงปลุกใจจากสถานีวิทยุกองทัพบกมากไปหน่อย- ในฐานะที่พี่เป็นลูก หลาน เหลน โหลน ของบรรพบุรุษที่สู้อุตส่าห์ปกป้อง รักษา ประเทศชาติมาด้วยชีวิตเลือดเนื้อ พี่ทนเห็นใครมาย่ำยีศักดิ์ศรีของประเทศชาติเราไม่ได้อย่างเด็ดขาด
ถ้าพวกเขมรรุกล้ำเข้ามาในดินแดนที่ บรรพบุรุษของพี่ได้สละเลือดเพื่อพวกเราลูกหลานได้อยู่ดีมีสุขกันมาจนถึงทุก วันนี้ พี่พร้อมจะสู้ตาย สู้ที่นี่ สู้ตรงนี้ สู้จนตาย ถึงเป็นคนสุดท้ายก็ลองดู!" ดาวพระศุกร์พูดพร้อมกำหมัดแน่นน้ำตาคลอ แถมยังร้องออกมาเป็นเพลงด้วยน้ำเสียงฮึกเหิมหาญอย่างยิ่ง
"เอ่อ...พี่ดาวพระศุกร์คะ ทัดดาวเข้าใจว่าบรรพบุรุษพี่ อากง อาม่า มาจากซัวเถาไม่ใช่เหรอคะ พึ่งตรุษจีนกันไปหยกๆ ลืมเสียแล้ว แล้วจะเป็นบรรพบุรุษพี่ได้ไงที่รักษาชาติบ้านเมือง แล้วที่ทัดดาวอ่านหนังสือประวัติศาสตร์มาบ้าง นักประวัติศาสตร์เค้าบอกว่า ชาติ มันเป็นชุมชนจินตกรรม เป็นสิ่งประดิษฐ์ของโลกสมัยใหม่ คนที่ทำสงครามกันสมัยก่อนเค้าไม่ได้คิดถึงขวานทองของเราในวันนี้สักหน่อย เค้าก็ปกป้องผลประโยชน์ ผู้คน ดินแดนของเค้าในสมัยนั้น ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเราเลยนี่นา...
(คำ ผกา, เผ่นดีกว่า, มติชนสุดสัปดาห์)
แต่ดูเหมือนรัฐบาลกรุงเทพฯ เชื่อว่าพวกเขามี "ทำนบพิเศษ" ไว้กีดกั้นกระแสประชาธิปไตยภิวัตน์ และไม่ต้องกังวลว่า "โดมิโนจากตูนิเซีย" จะล้มลงจนถึงไทย!
(สุรชาติ บำรุงสุข, ประชาธิปไตยภิวัตน์ จากตูนิเซีย สู่อียิปต์และ..., มติชนสุดสัปดาห์)
ถ้าเราอยากจะบอกอะไรกับใครเกี่ยวกับ เรื่องนี้ เราอยากบอกกับประเทศนี้มากกว่า ว่ามันถึงเวลาที่ควรจะเปลี่ยนอะไรได้แล้ว เลิกโกหกตอแหลว่าเป็นประชาธิปไตยเสียที บอกออกมาตรงๆ เลยว่าเรากำลังอยู่ในประเทศเผด็จการ มีอะไรบ้างที่ประเทศนี้ไม่ต้องการให้เกิด จะได้ปรับตัวและอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แต่พอเป็นแบบนี้เรารู้สึกเหมือนกับอยู่ในประเทศตอแหล โกหกเราตลอด พอเราทำในสิ่งที่เป็นสิทธิเสรีภาพที่คุณบอกว่าส่งเสริมตามรัฐธรรมนูญ คุณก็บอกว่ามันผิด เพราะไปขัดกับกฎหมายอีกอัน แบบนี้เราถือว่ามันเป็นการสับขาหลอก โกหกกูเห็นๆ เพราะฉะนั้น เราไม่โทษใครหรอก เขาก็ทำตามหน้าที่ เพราะว่าประเทศเราสอนให้คนที่มีอำนาจต้องแสดงอำนาจออกมาในลักษณะนี้ เขาก็น่าสงสารนะ เพราะเขาต้องเกิดมาในระบอบประชาธิปไตยไทยแลนด์แบบนี้
เรารู้แต่ว่าเมื่อถึงเวลา วันหนึ่งมันคงต้องเปลี่ยน จะช้าจะเร็วก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงแน่นอน และเราเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้แหละ เพราะว่าสิ่งที่เขาทำทุกวันนี้ มันค่อยๆ บีบให้สังคมลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างอยู่แล้ว เขาน่าจะรู้สึกได้ และน่าจะรู้สึกว่าการที่เขาต้องการที่จะอยู่แบบนี้กันต่อไป เขาควรจะต้อง Compromise กับทุกอย่าง และทำความเข้าใจกับมัน ว่าความแตกต่างมันต้องมี อย่าไปทำให้คนรู้สึกว่า อย่าแตกต่าง ยิ่งบีบ ยิ่งตีกรอบ สักวันมันก็ต้องระเบิด วิธีที่เขาทำอยู่มันยิ่งทำให้ระเบิดเร็วขึ้น กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น ไม่ใช่แค่วงการหนังนะ เขาทำแบบนี้กับทุกวงการ ทุกหนทุกแห่งในประเทศไทย นั่นมันยิ่งทำให้ทุกคนเริ่มหันมามองว่า นี่เรากำลังอยู่กันแบบไหน และเริ่มอยากเห็นความเปลี่ยนแปลง จนต้องออกมาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นด้วยตัวเองในที่สุด (นิ่งคิด) เอ๊ะ! พูดแบบนี้ออกไปแล้วจะโดนยิงตายไหมคะเนี่ย (หัวเราะ)
(ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์, บทสัมภาษณ์ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ ผู้ทำศพแมลงชั่ว-ผู้ไม่อยู่ในศีลธรรมอันดี, จีเอ็ม)
ต่อหน้าประธานาธิบดีคุณมีสิทธิ์แทรก ปัญหาที่อยากสื่อกับผู้นำเข้าไปได้ คำถามคือเมืองไทยทำได้หรือไม่ อาจทำต่อหน้านายกรัฐมนตรีได้ แต่จะทำเช่นนั้นในบางที่ได้หรือ ยิ่งปัจจุบันรัฐเซ็นเซอร์อย่างหนัก เกิดบรรยากาศที่ทุกคนระวังตัวแจ การแสดงออกแทบทุกเรื่องโดนจำกัด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าทำอะไรไม่ได้เลย อาจารย์เกษียร เตชะพีระ เคยบอกว่าบทกวีมีอำนาจที่ทำให้มันมี "วิธี" สื่อสารบางเรื่องได้มากกว่าข้อเขียนประเภทอื่น แต่กวีไทยยังใช้ข้อได้เปรียบนี้น้อยมาก...
(กฤช เหลือลมัย, บทสัมภาษณ์ "บทสนทนาที่หายไป" ในวงการกวีนิพนธ์ไทย, สารคดี)
"ป้าน่ะมาจากอุตรดิตถ์ คนบ้านนอก การศึกษาน้อย แต่ป้ารู้หมดนะ ไม่ใช่ไม่รู้อะไร ป้าตาสว่างแล้ว"
(ไอดา, ชีวิตสั้น, ศิลปะสั้นกว่านั้น, อ่าน)
วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ประชาธิปไตย เป็นจิตวิญญาณของเรา