การใช้อำนาจของสถาบันหลักทางการเมือง
ระบบการเมือง หมายถึง ระบบซึ่งประกอบไปด้วย ข้าราชการการเมือง พรรคการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา กลุ่มผลประโยชน์ สื่อมวลชนและประชาชน การที่กลุ่มต่างๆเหล่านี้มาอยู่ร่วมกันในรูปแบบของรัฐจะมีการสร้างระบอบการปกครองมาใช้ในรูปแบบต่างๆ เช่นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ประชาธิปไตย
ระบอบการเมือง คือระบบการบริหารสังคมที่เรียกว่า “รัฐ” นั่นเอง
ในระบบการบริหารจัดการรัฐ จึงเป็นระบบของการตัดสินใจแทนรัฐโดยผู้ใช้อำนาจรัฐ เป็นการกระทำในนามของรัฐและมีผลผูกพันต่อคนในสังคมของรัฐนั้นๆต้องให้การยอมรับหรือต้องปฏิบัติตาม
ระบอบการเมือง จึงเป็นระบบการปกครองและการบริหารจัดการรัฐโดยสถาบันต่างๆและผู้ใช้อำนาจรัฐ และมีความสำคัญอย่างมากต่ออนาคตของทุกคนในสังคมรัฐนั้นๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้นการใช้อำนาจของสถาบันหลักทางการเมือง ต้องมีรูปแบบของการจัดการที่ตั้งบนกฎเกณฑ์ตามระบอบการปกครองที่นำมาใช้เสมอ เช่น ถ้าเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย การใช้อำนาจรัฐของสถาบันทางการเมือง ไม่ว่ารัฐบาล รัฐสภา ต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนมาส่วนร่วมทางการเมือง เพื่อให้เกิดการถ่วงดุลอำนาจ การตรวจสอบ ให้การใช้อำนาจเป็นไปอย่างโปร่งใส ชอบธรรม ไม่ควรผูกขาดการตัดสินใจแค่เพียงการพิจารณาของครม. และรัฐสภาโดยประชาชนไม่มีส่วนรู้เห็นด้วยเลย
พัฒนาการทางการเมืองไทยที่ผ่านมา
- นับแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ตั้งแต่ พ.ศ.2475 จนถึงปัจจุบัน (2548) ประเทศไทยสามารถก้าวสู่การเป็นประเทศที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ได้อย่างแท้จริงหรือยัง
- ช่วงแรก(พ.ศ.2475-2500) เป็นช่วงแห่งการแย่งชิงอำนาจของชนชั้นนำกลุ่มต่างๆคือ ทหาร ตำรวจ พลเรือนที่สับเปลี่ยนกันเข้ามาใช้อำนาจรัฐ โดยมีรัฐธรรมนูญที่มีกรอบกติกาที่เอื้ออำนวยให้
- ช่วงตั้งแต่ พ.ศ.2500 - 2523 เป็นช่วงแห่งการผูกขาดอำนาจของข้าราชการทหารและ Technocrat’s ที่สับเปลี่ยนกันก่อการปฏิวัติรัฐประหาร เข้ายึดครองอำนาจรัฐอย่างต่อเนื่อง จนเป็นวงจรอุบาทว์ทางการเมือง
- ในช่วงปี พ.ศ.2523-2531 สมัยพลเอก เปรม ติณสูลานนท์สังคมการเมืองไทยเข้าสู่ระบอบกึ่งประชาธิปไตย
- ในสมัยพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัน เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่มีปัญหาด้านการทุจริตคอรัปชั่นสูง นำไปสู่การก่อการรัฐประหารโดยกลุ่มทหาร (รสช.) อีกครั้งหนึ่ง
- นับตั้งแต่ พ.ศ. 2535 เป็นต้นมาการเข้าสู่อำนาจโดยการยึดครองอำนาจทำการรัฐประหารสิ้นสุดลง ประเทศไทยได้ชื่อว่า เป็นประเทศที่มีการปกครองแบบรัฐสภา มีการเลือกตั้ง พรรคการเมือง มีผู้นำรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญของระบอบการเมืองแบบประชาธิปไตย
สภาพปัญหาทางการเมืองไทยในช่วงของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่ผ่านมา อาจสรุปในประเด็นสำคัญ ๆ ได้ดังนี้
1. การเมืองไทยมีลักษณะเป็นการเมืองของนักการเมือง และของรัฐราชการ ไม่มีลักษณะเป็นการเมืองของพลเมือง(Citizen Politic) ใน 50 ปีแรก สังคมการเมืองไทยได้ชื่อว่า การเมืองที่ข้าราชการเป็นใหญ่ หรือ “อำมาตยาธิปไตย” ตั้งแต่ พ.ศ.2525 -2540 เป็นการเมืองแบบเลือกตั้ง (Electoral Politics) สิ่งที่ขาดหายไปคือ การเมืองภาคประชาชน (Citizen Politics) ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องแก้ไข
2. ความไม่สุจริตในระบบการเมืองเริ่มจากการซื้อเสียง เข้ามาสู่ตำแหน่ง แสวงหาผลประโยชน์จากตำแหน่งสาธารณะได้ง่าย เพราะระบบการตรวจสอบไม่ครบถ้วน และไม่มีประสิทธิภาพ
3. การเมืองไทยที่ผ่านมา เป็นการเมืองที่รัฐบาลและ รัฐสภาขาดเสถียรภาพและความต่อเนื่อง อีกทั้งยังไม่มีประสิทธิภาพในการบริหารงานเพื่อแก้ไขปัญหาของบ้านเมืองทำให้เกิดปัญหาทับถมจนเกิดวิกฤติสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองขึ้น
สาเหตุ - ระบอบประชาธิปไตยของไทย พัฒนามาจากระบอบอำมาตยาธิปไตย ที่ข้าราชการประจำ และ Technocrat เป็นผู้มีอำนาจมาก
- นักการเมืองต้องอาศัย ความคิด ความรู้ความสามารถจากกลุ่มข้าราชการ
- ทำให้สถาบันทางการเมือง คือ รัฐสภา รัฐบาล และศาลอยู่ในสภาพที่อ่อนแอ ไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่
- ส่งผลให้ระบบการเมืองไทยเป็นระบบอุปถัมภ์ค้ำจุนกันระหว่างข้าราชการประจำ นักการเมืองและนักธุรกิจนายทุน
การเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมืองไทย เพื่อเปลี่ยนรูปแบบการจัดการปกครองประเทศจากแบบเดิมที่เป็นแบบที่ใช้ระบบความสัมพันธ์ (relation-base-system) ส่วนตัวเป็นหลักมาเป็นรูปแบบที่ใช้กฎเกณฑ์ (rule-base-system)
ขั้นแรกของการปฏิรูปการเมืองไทย คือ การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ด้วยความหวังว่า รัฐธรรมนูญจะเป็นเครื่องมือ ในการทำให้การเมืองการปกครองไทยมีระบบการปกครองที่ดี (Good Governance)
การจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ได้เสร็จสิ้นและประกาศใช้เมื่อ วันที่11 ตุลาคม พ.ศ.2540
ขั้นที่สองของการปฏิรูปการเมือง คือ การนำรัฐธรรมนูญไปบังคับใช้ให้บรรลุผลตามเป้าหมาย และเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญอย่างมีประสิทธิภาพ
นั่นคือ สถาบันทางการเมือง ได้แก่ รัฐบาล รัฐสภา ศาล องค์กรอิสระ จะสามารถปฏิบัติภาระ หน้าที่ได้อย่างอิสระ สุจริต โปร่งใส โดยมีกระบวนการบริหารจัดการที่ดี
- มีรัฐสภาที่ทำหน้าที่ในการตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหารอย่างเข้มแข็ง พิจารณากลั่น กรองกฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
-มีรัฐบาลหรือฝ่ายบริหารที่มีความเข้มแข็งมีความรับผิดชอบในการกระทำของตน(Accountability)
- มีองค์กรอิสระที่สามารถทำการตรวจสอบ กำกับการใช้อำนาจรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- มีระบบราชการที่ข้าราชการมีจิตวิญญาณแห่งวิชาชีพ
- มีประชาสังคมที่เข้มแข็ง และมีส่วนร่วมในกิจกรรมสาธารณะ
-โดยทั้งหมดกระทำการโดยเคารพหลักนิติธรรม เพื่อความมีประสิทธิภาพ และความเที่ยงธรรม
ปัจจุบัน(พ.ศ.2548) หลังจากใช้รัฐธรรมนูญ ฉบับนี้มา 7 ปี ความสำเร็จในการปฏิรูปการเมืองไทย บรรลุผลตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมากน้อย เพียงใด
การปฏิรูปการเมืองจะประสบความสำเร็จได้ ต่อเมื่อทุกส่วนของสังคม ได้แก่
ภาคการเมือง ภาครัฐราชการ และภาคประชาชน ให้การยอมรับ เคารพ และปฏิบัติตาม กฎเกณฑ์ กติกาที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้อย่างจริงจัง
เจตนารมณ์ของการปฏิรูปการเมืองตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับพ.ศ.2540 มีเป้าหมายสำคัญ 3ประการคือ
1. การเพิ่มอำนาจให้พลเมือง โดยการทำให้การเมืองไทยมีลักษณะเป็นการเมืองของพลเมือง
2. การทำให้การเมืองมีความโปร่งใส เพิ่มความสุจริตในการใช้อำนาจรัฐ และการตัดสินใจในนโยบายต่างๆ ลดการทุจริตคอรัปชั่นทั้งในวงการเมืองและระบบราชการ
3. การทำให้การเมืองมีเสถียรภาพและมีประสิทธิภาพ ภายใต้ระบบการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐอย่างรัดกุมเข็มงวดมาตรการปฏิรูปการเมืองเพื่อให้บรรลุผลตามเป้าหมาย ทั้ง 3 ประการ ที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540
อาจสรุปได้ดังนี้
1. การทำให้การเมืองไทยมีลักษณะเป็นการเมืองของพลเมือง (Citizen Politics) ทำไมต้องมีการเมืองของพลเมือง?
- เพื่อให้นักการเมือง ข้าราชการ และประชาชน สามารถทำงานร่วมกันได้
- เพื่อให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเข้ามามีบทบาทและมีส่วนร่วมทางการเมือง
สังคมการเมืองไทย
ในอดีต รัฐราชการเข้มแข็งและมีบทบาทสูงในทางการเมือง ปัจจุบัน ภาคการเมืองเข้มแข็งและมีบทบาทสูง สิ่งที่ขาดหายไป คือ ภาคประชาชน
ในสังคมรัฐหนึ่ง ๆ จะประกอบด้วยส่วนประกอบสำคัญ 3 ส่วนคือ
- ภาครัฐราชการ
- ภาคการเมือง
- ภาคประชาชน (พลเมือง)
แต่ในสังคมการเมืองไทยในอดีต รัฐราชการเข้มแข็งและมีบทบาทสูงในทางการเมือง เพราะข้าราชการในอดีตเป็นผู้ที่มีความรู้ มีวุฒิการศึกษาสูง(Technocrats) จึงเป็นผู้มีบทบาทในการตัดสินใจในนโยบายต่างๆทั้งหมด
ต่อมา นักการเมืองเริ่มเข้ามาทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบายสาธารณะเพิ่มขึ้น และในปัจจุบันอำนาจในการกำหนดและตัดสินใจในนโยบาย ถูกถ่ายโอนมาอยู่ในอำนาจของฝ่ายการเมืองอย่างสิ้นเชิง
สำหรับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ คือชนชั้นล่าง ชนชั้นกลาง ได้แก่ ผู้ใช้แรงงาน เกษตรกร
แม่ค้าพ่อค้า ผู้ด้อยโอกาส นักธุรกิจ ( 35ล้านคน) ยังไม่มีส่วนร่วมทางการเมือง ไม่สามารถรวมตัวกันอย่างเป็นกลุ่มก้อน เพื่อเจรจาต่อรองกับพรรคการเมือง เกี่ยวกับนโยบายที่เอื้อประโยชน์กับกลุ่มตนโดยใช้คะแนนเสียงเป็นเครื่องแลกเปลี่ยนได้เลย
- แต่กลุ่มที่มีโอกาสได้แก่ กลุ่มทุนขนาดใหญ่ของกลุ่มทุนในภาคอุตสาหกรรม บริการ สถาบันการเงิน ฯลฯ ที่สามารถรวมตัวกันและให้การสนับสนุนทางการเงินแก่พรรคการเมืองเพื่อแลกเปลี่ยนกับ การกำหนดนโยบาย ออกกฎหมาย ทำสัญญาสัมปทาน การจัดซื้อจัดจ้างต่างๆที่เอื้ออำนวยกับตน
- นักการเมืองจึงเป็นผู้รับใช้กลุ่มทุน แต่ปัจจุบัน กลุ่มทุนเข้ามามีอำนาจการเมืองเอง และรับใช้กลุ่มทุนเหมือนเดิม
การเมืองของพลเมือง(Citizen Politics) หรือการเมืองภาคประชาชน คืออะไร
การเมืองของพลเมือง หมายถึง การเมืองที่ประชาชนในทุกส่วนภาคสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับท้องถิ่น ระดับชาติ ระดับนานาชาติ
เป็นการเมืองที่ประชาชนสามารถเข้าไปมีบทบาทและเข้าใจถึงสิทธิในการแสดงออกซึ่งความต้องการของตนเพื่อนำไปสู่การผลักดันให้รัฐออกกฎหมายหรือกำหนดนโยบายต่างๆที่สอดคล้องกับความต้องการของตนได้
การเมืองภาคประชาชน จึงถือเอาขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองในรูปแบบต่างที่ปรากฏในสังคมรัฐ เช่น การชุมนุม เดินขบวน เรียกร้อง เจรจาต่อรอง การพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินใจร่วมกับรัฐในเรื่องต่างๆ ฯลฯเป็นต้น
การเมืองแบบนี้ ประชาชนจะเป็นตัวแทนของตนเอง เป็นผู้กำหนดความต้องการของตนเองออกมาเป็นประเด็นในสังคมเพื่อนำไปสู่การเคลื่อนไหวต่อไป
ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับรัฐ จะเปลี่ยนจากการเป็นผู้อยู่ใต้อุปถัมภ์พึ่งพา แบมือขอในฐานะเป็นผู้ถูกกระทำ(Passive) มาเป็นผู้กระทำ (active) เป็นฝ่ายรุกรัฐให้กระทำตาม ดังนั้น รัฐจึงไม่ใช่ศูนย์อำนาจแต่ประชาชนคือศูนย์อำนาจเป็นผู้กำหนดความต้องการของตน ไม่ใช่รัฐ
ในสังคมของประเทศที่พัฒนาแล้วและเป็นประชาธิปไตย ประชาชนในชาติจะมีวัฒนธรรมทางการเมือง ที่ยึดถือว่า “บ้านเมืองเป็นเรื่องของทุกคน” กิจการใดๆ ธุระใดๆของรัฐจึงเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องสนใจเข้าไปมีส่วนร่วมเสมอ แม้จะมีรัฐสภา รัฐบาล และกลไกรัฐที่ใหญ่โตแล้วก็ตาม
การสร้างประชาธิปไตยแบบการเมืองส่วนร่วม(Participatory democracy) และประชาธิปไตยทางตรงเพื่อกำกับ กำหนดทิศทางตรวจสอบการใช้อำนาจเป็นสิ่งจำเป็น
ทำไมการเมืองภาคประชาชนจึงไม่เกิดขึ้นในสังคมไทยในอดีต การเมืองแบบนี้เกิดขึ้นหรือยังในปัจจุบัน
พฤติกรรมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในแต่ละประเทศจะเป็นเช่นใด ขึ้นอยู่กับ ภูมิหลังทางสังคม ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม เศรษฐกิจ ของแต่ละชาติเป็นสำคัญ เช่น ในแผ่นดินยุโรป โดยเฉพาะสังคมเยอรมัน ก่อนรวมตัวกันเป็นชาติต่างมีวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ในลักษณะเมือง หรือท้องถิ่นมาก่อน เป็นชาวเมืองที่เรียกว่า Buerger หรือ Bourgeoisie หรือ กระฎุมพี ปัจจุบันเรียกว่า “ชนชั้นกลาง”
Buerger คือพวกพ่อค้าและช่างฝีมือ ที่ทำมาหากินอยูในเมืองจนสามารถสร้างหลักฐาน มีทรัพย์สิน เงินทอง เป็นผู้มั่งคั่ง กลายเป็นชนชั้นใหม่ในสังคมที่มีศักดิ์ศรี มีอำนาจ ทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางสังคมศักดินาของเหล่าขุนนาง
ในฐานะที่เป็นพลเมืองที่ต้องการดำรงชีวิตในแผ่นดินอย่างมีอิสรภาพ มีความเสมอภาค ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ มีกฎหมายเป็นกฎเกณฑ์กติกาของบ้านเมือง
ในด้านการเมือง พวกนี้จึงมีอิทธิพลต่อการนำพาบ้านเมือง เป็นผู้ร่วมก่อตั้งรัฐชาติ เพื่อมารองรับบทบาทและหน้าที่ของพวกตนจนทำให้ชนชั้นสูง ต้องคลายอำนาจลง
ต่อมาการอยู่ร่วมกันในลักษณะรัฐชาติสมัยใหม่ (Nation State) มีการเปลี่ยนผ่านจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นประเทศสังคมเสรีประชาธิปไตย
พวกนี้มีลักษณะนิสัยของความเป็นพลเมืองที่ว่า การดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคม ในด้านหนึ่งต้องรักษาสิทธิและ ผลประโยชน์ส่วนตัว แต่อีกด้านหนึ่งต้องเป็นธุระกับเรื่องส่วนรวมด้วย ดังนั้นการใดๆของรัฐ ธุระใดๆของประเทศชาติพลเมืองทุกคนต้องสนใจ เป็นเรื่องของทุกคน ถึงแม้จะมีการใช้ระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทนมี รัฐสภา รัฐบาล ราชการมาทำหน้าที่แล้วก็ตาม
ในจิตวิญญาณและความคิด ของพวกเขาถือว่า แผ่นดินประเทศชาติเป็นของพลเมืองทุกคนๆต้องช่วยกันดูแล เจ้าหน้าที่รัฐเป็นเพียงผู้มีหน้าที่ปฏิบัติงานตามกฎหมายและบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ที่เรียกว่า “Public Servant” นักการเมือง เป็นผู้ที่ประชาชนให้โอกาสมาทำงานให้บ้านเมืองตามที่เขาเสนอตัวมา
ดังนั้น ประชาชน ต้องทำหน้าที่ ตรวจสอบ ติดตาม ควบคุม ถ้าทำไม่ดีก็เปลี่ยนได้ ตามกฎหมาย
ในสังคมประชาธิปไตยที่ยั่งยืน ต้องเป็นสังคมที่มีการแบ่งปันอำนาจ (Power) นั่นคืออำนาจรัฐต้องมาจากทุกส่วนภาคของสังคม ไม่ใช่ผูกขาดโดยชนชั้นใดชั้นหนึ่ง
การมีส่วนร่วมของประชาชนจึงมีความสำคัญอย่างมากต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
แนวคิดประชาธิปไตยแบบดั้งเดิม ถือว่าแม้ประชาชนเป็นเจ้าของอธิปไตย แต่ได้มอบให้ผู้แทนเป็นผู้ใช้ไปแล้ว โดยประชาชนมีส่วนร่วมเฉพาะเมื่อถึงเวลาลงคะแนนเสียงเท่านั้น หลังจากนั้น ก็ไม่มีสิทธิใดๆอีก ต้องยอมรับในการกระทำทุกอย่างที่ผู้มีอำนาจตัดสินใจ
แต่ในศตวรรษที่ 20 แนวคิดประชาธิปไตยเปลี่ยนไปจากเดิมโดยความรู้สึกเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยของประชาชนเรียกร้องให้รัฐต้องใช้อำนาจในการปกครองบ้านเมืองที่ดี
ดังนั้น พันธกรณี ที่ประชาชนเลือกผู้แทนไปใช้อำนาจนั้นไม่ใช่เป็นการมอบอำนาจอย่างเด็ดขาด แต่สิทธิของประชาชนยังคงมีอำนาจในการตรวจสอบ ติดตาม เข้าไปมีส่วนร่วมในการคิด ตัดสินใจ กระทำการต่างๆร่วมกับรัฐได้ โดยเฉพาะเรื่องที่อาจส่งผลกระทบต่อตนเอง และสังคม
การมีส่วนร่วมอาจทำในรูปแบบต่างๆ เช่น การชุมนุม ประท้วง การทำประชาพิจารณ์ ลงประชามติ ฯลฯ
จากประวัติศาสตร์ ในการพัฒนาประชาธิปไตยไปสู่ความยั่งยืนได้ สังคมต้องมีการแบ่งอำนาจไปสู่กลุ่มต่างๆที่เป็นหุ้นส่วนทางสังคม(Social partner) ได้แก่ กลุ่มทุน กลุ่มอาวุธ กองกำลัง กลุ่มปัญญาชน ข้อมูลข่าวสาร การรวมพลังประชาชน การแบ่งปันความมั่งคั่ง (Wealth) จะตามมาเมื่อมีการแบ่งปันอำนาจเกิดขึ้น
ในสังคมประชาธิปไตย การแบ่งปันอำนาจและความมั่งคั่งจะเกิดขึ้น เมื่อชนชั้นกลางมีความเป็นปึกแผ่น มั่นคง เป็นแกนนำในการเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง ถ้าเมื่อใด ชนชั้นกลางในสังคม มีบทบาททางการเมืองน้อย ดุลยภาพจะเสีย และทำให้อำนาจรัฐถูกผูกขาดโดยชนชั้นใดชั้นหนึ่งในสังคม จนกลายเป็นเผด็จการ
ดังเช่น ในสังคมไทย ชนชั้นล่างถูกผูกติดให้อยู่กับระบบอุปถัมภ์ ต้องแบมือรับความช่วยเหลือจากรัฐตลอดเวลา ทำให้คิดไม่เป็น มองไม่เห็นข้อเท็จจริง ชนชั้นกลางไม่สนใจที่จะเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง และจำนวนมากที่ไปรับใช้กลุ่มทุนที่มีอำนาจรัฐ เพื่อหวังขยับขึ้นเป็นชนชั้นนายทุน ทำให้ชนชั้นนายทุนครองอำนาจรัฐได้อย่างเด็ดขาด
การเมืองภาคพลเมือง ในรูปแบบขององค์กรนอกภาครัฐ หรือ Non Governmental Organization NGOs จึงเกิดจากการอาสามาทำงานของประชาชนที่อยู่ในเมือง ซึ่งจะทำในรูปแบบต่างๆ เช่น มูลนิธิ สมาคม สถาบัน ชมชม กลุ่ม เครือข่าย ฯลฯ และจะทำเรื่องอะไร ระดับไหน ตั้งแต่ เก็บขยะ ไปถึง กลุ่มกรีนพีช ระดับนานาซาติ
NGOs จึงมีจิตวิญญาณของพลเมืองอาสา ที่ต้องการริเริ่ม เอาธุระในกิจการสาธารณะต่างๆ โดยมีตัวแทนการเมืองและกลไกรัฐราชการที่ยอมรับการมีส่วนร่วมของประชาชนที่เป็นพลเมืองของประเทศอย่างแท้จริง
1. มาตรการในการส่งเสริมให้ประชาชนรวมเป็นประชาสังคมและมีความเข้มแข็งตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ 2540 มีหลายประการ อาทิเช่น
1. การให้เสรีภาพในการรวมตัวแบบต่าง ๆ เช่น สหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร สหภาพแรงงาน แนวร่วมทางการเมือง พรรค
2. ให้องค์กรประชาชนมีบทบาทมากขึ้นในระบบการเมือง โดยเข้าไปร่วมเป็นคณะกรรมการสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ องค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อม คุ้มครองผู้บริโภค คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฯลฯ
3. เพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนในการเข้าไปกดดันให้รัฐบาลดำเนินการต่าง ๆ ตามนโยบายที่กำหนดไว้
4. เพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนในการเมืองระดับชาติ เช่น เสนอกฎหมายร้องเรียนให้ถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ฯลฯ
จากรัฐธรรมนูญในตัวของมันเองจะไม่เกิดผลอะไร ถ้าหากไม่มีการ ดำเนินการอย่างจริง โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายอย่างจริงจัง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ประชาธิปไตย เป็นจิตวิญญาณของเรา