เครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคม เลขทะเบียน ๘๖๙ สภาพัฒนาการเมือง สถาบันพระปกเกล้า

อุดมการณ์สถานักพัฒนาเพื่อประชาธิปไตย

เรา...มั่นใจว่า
ประชาธิปไตย เป็นจิตวิญญาณของเรา
ประเทศไทย เป็นของเราทุกคน
เรา ต้องร่วมกันสร้างชาติไทย ให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์

ขอไว้อาลัยต่ออการจากไปของ ดร.พีรพันธ์ พาลุสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ขอไว้อาลัยต่ออการจากไปของ ดร.พีรพันธ์  พาลุสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554

อย่าผลักไสใส่ความให้ผมเป็นคนเลวเลยครับ

ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต


ได้รับทราบว่าคุณบรรจบ เจริญชลวานิช พันธมิตรจากสหรัฐอเมริกา เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงผม แล้วมีผู้นำไปอ่านขยายความบนเวทีสะพานมัฆวาน ถ่ายทอดสดออกทาง ASTV และลงในเว็บไซต์ผู้จัดการ

ตอนแรกก็ไม่คิดจะชี้แจงอะไร เพราะคิดว่าผมเองก็เป็นคนธรรมดา ไม่ได้กินเงินเดือนจากภาษีประชาชน หากคนเข้าใจผิดบ้างคงไม่มีอะไรเสียหายต่อส่วนรวม

แต่เมื่อ ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ กรุณาส่งบทความมาให้ผมทางอีเมล์อีกต่อ แถมเขียนข้อความสั้นๆ มาด้วยว่า "เดี๋ยวนี้มีคนเขาเปลี่ยนชื่อให้เป็น GermSag แล้ว ผมว่า cute ดีจัง แต่เจิมศักดิ์คงไม่ชอบแน่ๆ ยกเว้นจะเอามาพิจารณาเห็นว่ามันน่าจะมีประโยชน์"

เมื่อพิจารณาว่าคนอย่างอาจารย์ปราโมทย์ที่ผมเคารพรัก และเป็นคนระดับที่ผมหมายมั่นว่าอยากจะให้เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ หากบ้านเมืองถึงทางตัน เกิดสูญญากาศทางการเมือง ท่านยังมีท่าทีเห็นด้วยกับความเข้าใจคลาดเคลื่อนเออออไปกับผู้ปราศรัยบนเวที ที่เต็มไปด้วยอคติ ปลุกเร้าความเกลียดชัง และเมื่อพิจารณาว่าจดหมายฉบับนี้ยังได้ถูกตีพิมพ์ในเว็บไซต์ผู้จัดการ และ ASTV ซึ่งเป็นสื่อสาธารณะที่กระจายออกสู่วงกว้างไปถึงทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่ เห็นด้วยกับการชุมนุมที่เวทีมัฆวานในครั้งนี้ ผมจึงจำเป็นต้องขออนุญาตชี้แจงความจริงทางสื่อ ดังนี้



1) ยอมรับครับว่า ผมไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์โจมตีคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน มากหรือรุนแรงเท่ากับที่เคยทำกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่ทั้งนี้ ก็ด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพราะผมไม่ได้คิดว่าคุณอภิสิทธิ์จะเลวทรามต่ำช้าเท่ากับคุณทักษิณ แต่อะไรที่ผมไม่เห็นด้วยก็ยังวิจารณ์ติติงเป็นเรื่องๆ ไป

ยกตัวอย่าง เรื่อง "เช็คช่วยชาติ 2,000 บาท" - "รถเมล์ รถไฟ ไฟฟ้าฟรี" - "การตรึงราคาแก๊ซหุงต้ม น้ำมันดีเซล" - "รถเมล์ 4,000 คัน" ฯลฯ ผมวิจารณ์ออกสื่อสาธารณะไปแล้วทั้งหมด และเมื่อวิจารณ์ไปแล้ว คุณอภิสิทธิ์และ/หรือรัฐบาลยังมีความเห็นต่างจากผม ผมก็ต้องเคารพคนที่ทำหน้าที่และรับผิดชอบในฐานะนายกรัฐมนตรี โดยให้เขาลองดำเนินการไป เราทำหน้าที่สื่อก็ติดตามเฝ้าดูผลที่ตามมา อย่างรถเมล์ 4,000 คัน เขาก็เลื่อนไปเรื่อยๆ จนบัดนี้ก็ยังไม่มีการดำเนินการ เป็นต้น

จะให้ผมไปประณามคนที่คิดต่างจากผมว่าเป็นคนโง่ คนเลว คนชั่ว ต้องออกมาขับไล่ใหญ่โต สร้างเรื่องขยายความไปให้โตเกินจริง ทั้งๆที่ ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นด้วย ผมคงไม่ทำและเมื่อมีคนทำ ผมก็ไม่เข้าร่วม

และถึงวันนี้ ผมก็ยังไม่ทำ "รู้ทันอภิสิทธิ์" เหมือนที่เคยทำ "รู้ทันทักษิณ" ก็เพราะผมดูกันตามเนื้อผ้า ยังไม่ถึงเวลาเงื่อนไขยังไม่ใช่ และไม่เคยคิดจะทำลายใครโดยไม่เป็นธรรม ส่วนถ้าหากมีคนอื่นคิดอยากจะทำหนังสือ "รู้ทัน..." ผมก็ไม่มีสิทธิที่จะไปห้ามอยู่แล้ว

ถ้าต่อไปในอนาคต คุณอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ที่เลวทรามต่ำช้าเหมือนคนอย่างทักษิณจริงๆ หาผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเองและพวกพ้อง เป็นเผด็จการรัฐสภา ฯลฯ ผมก็ต้องลุกขึ้นมาโจมตี ขับไล่ เหมือนที่ทำกับคุณทักษิณแน่นอน

ผมอยากจะเรียนด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า ผมรับระบอบทักษิณไม่ได้ และยอมให้ระบอบทักษิณกลับมายึดครองดูแลชาติบ้านเมืองอีกไม่ได้

ขณะเดียวกัน ผมไม่คิดว่าวิธีการพิเศษเพื่อเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองโดยรัฐประหารหรือขอพระราช ทานรัฐบาลเฉพาะกิจเฉพาะกาล หรืองดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา (สุดแต่จะเรียก) จะเป็นทางออกของประเทศ (ซึ่งผมอาจผิดก็ได้ครับ แต่ผมก็เคารพความคิดที่คิดโดยบริสุทธิ์ใจของผมเอง)

ผมจึงไม่มีทางเลือกมากนักที่ยังคงต้องยึดระบอบรัฐสภาในการบริหารประเทศ เอาใจช่วยการเมืองอีกข้างของรัฐสภา ยึดถือการเลือกตั้ง แม้จะเห็นข้อจำกัดข้ออ่อนหลายอย่าง แต่ผมเลือกที่จะร่วมพัฒนาระบอบรัฐสภาแก้ไขข้ออ่อนข้อด้อยต่อไป จนกว่าจะได้ทางเลือกอื่นที่คิดว่าดีกว่า

แต่ขณะนี้ ใครสร้างเงื่อนไข ปั่นกระแส สร้างข้อกล่าวหาใส่ร้ายโจมตีเกินความจริง ประชาชนส่วนมากเขาก็มีวิจารณญานและไม่เข้าร่วมมากเหมือนในอดีต แถมยังทำให้คนตั้งข้อสังเกตไปต่างๆ นานากับผู้นำปราศรัย ผู้นำการชุมนุม และผู้อยู่เบื้องหลังการชุมนุมซึ่งไม่เป็นผลดีกับใครเลยครับ

บางคนบนเวทีที่สะพานมัฆวานพยายามกล่าวหาว่า ผมได้ผลประโยชน์จากรัฐบาล โดยได้ทำรายการทาง สทท.11 (NBT) ก็ต้องเรียนว่า ผมทำรายการที่ช่อง 11 มา 20 ปีแล้วครับ จะหยุดไปก็ตอนสมัยทักษิณเป็นนายกฯ (ตั้งแต่สิงหาคม 2544 -กันยายน 2549) รายการที่เคยทำหากจำกันได้ เช่น เวทีชาวบ้าน ตามดูผู้แทน มองต่างมุม ตามหาแก่นธรรม เหรียญสองด้าน ฯลฯ และก็ไม่ใช่ว่าพอรายการหลุดผังแล้วจึงออกมาวิจารณ์ทักษิณ ตรงกันข้ามครับ ผมวิจารณ์ทักษิณออกสื่อที่ทำอยู่ จนเป็นเหตุให้พวกเขาถอดรายการออก

ปัจจุบัน ผมทำอยู่สองรายการ คือ "คลายปม" กับ "ลงเอยอย่างไร" เป็นรายการสาระประโยชน์ที่มีคนดู Rating สูงสุดของ สทท.11 และจ่ายค่าเช่าเวลาตามข้อตกลงครบถ้วน อย่างนี้ผู้บริหารสถานีควรให้ทำรายการได้ใช่ไหมครับ



2) คุณบรรจบต่อว่าผมในจดหมายเปิดผนึกว่า "...วันหนึ่งผมได้เห็นความพยายามชี้นำเพื่อปกป้องนโยบายชั่งไข่ของนายก อภิสิทธิ์ อาจารย์ถึงกลับฉีกเอาผ้าอนามัยขึ้นซับเหงื่อ ทั้งยังคะยั้นคะยอให้อาจารย์วันชัย สอนศิริ ทำตาม จน อ.วันชัย รับมุขไม่ทัน หน้าตากระอักกระอ่วน..."

เรื่องที่นายกฯ อภิสิทธิ์เสนอให้ผู้ค้าขายและผู้ซื้อไข่ ค้าขายเป็นกิโล แทนการคัดเกรดขายเป็นฟอง ผมคิดไตร่ตรองโดยบริสุทธิ์ใจว่าเป็นข้อเสนอทางเลือกที่น่าสนใจ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องการจะปกป้องใครเลยครับ

ในอดีต เราเคยซื้อขายข้าวเป็นถัง เป็นเกวียน (ตามปริมาตร) ต่อมาก็ซื้อขายกันโดยชั่งเป็นกิโล (น้ำหนัก) ส้ม มะม่วง ผลไม้ต่างๆ แต่ก่อนเขาก็ขายกันเป็นลูก ต่อมาก็ชั่งกิโลขาย โดยไม่ต้องเสียต้นทุนการคัดเกรด โดยที่ต้นทุนเหล่านี้ ถ้ายังมีก็จะถูกผลักไปให้ผู้บริโภคคือราคาที่สูงขึ้น

ผมร่ำเรียนเศรษฐศาสตร์ด้านการตลาดสินค้าเกษตรจาก Stanford University สหรัฐอเมริกา กลับมาก็สอนเศรษฐศาสตร์ วิชาการตลาดสินค้าเกษตรที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อยู่หลายสิบปี เห็นว่าเป็นความคิดที่ดีไม่ว่าตลาดจะดำเนินการขายไข่ชั่งกิโลตามคำเสนอแนะ ช่วงนายกฯ คนไหนก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย

เรานำประเด็นนี้ไป "คลายปม" กับอาจารย์วันชัย สอนศิริ ว่า "ต้นทุนการตลาด" หรือ marketing cost มันส่งผลต่อราคาและกำไรของผู้ซื้อผู้ขายอย่างไร แล้วก็นำเอาต้นทุนการตลาดและกำไรของสินค้าอื่นๆ มาวิเคราะห์ประกอบด้วย คือ นม เครื่องดื่มชาเขียว แชมพูสระผม และผ้าอนามัย ที่เลือกสินค้าพวกนี้ก็เพราะกระทรวงพาณิชย์เขามีตัวเลขต้นทุนแต่ละประเภทใน รายละเอียด (สินค้าชนิดอื่นไม่พบการแจกแจงข้อมูลต้นทุนละเอียดอย่างนี้) ทั้งหมดก็มีเจตนาเพื่อชี้ให้ผู้ชมเห็นว่า สินค้ายิ่งผ่านการปรุงแต่งแปรรูปมาก ก็จะยิ่งมีต้นทุนการตลาดสูง ตัวสินค้าที่เราบริโภคจริงๆ ที่อยู่ในขวดในหีบห่อบรรจุภัณฑ์มีอยู่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือคือค่าการตลาดที่ผู้บริโภคต้องเสียไปโดยไม่จำเป็น

ในรายการ "คลายปม" จึงหยิบสินค้าทีละตัวขึ้นวิเคราะห์ มาถึง "ผ้าอนามัย" เป็นสินค้าตัวสุดท้าย อาจารย์วันชัย ผู้ร่วมรายการทำท่าไม่อยากจะฉีกห่อพลาสติกและคลี่ผ้าอนามัยที่บรรจุอยู่ ผมก็เลยบอกว่าผ้าอนามัยในห่อเป็นของใหม่ ซึ่งก็คือสำลีและผ้าก็อตที่สะอาด ผ่านการสเตอร์ไลซ์ด้วยซ้ำ

ก็เลยนึกไปถึงเรื่องที่เคยได้ยินว่าในศึกสงคราม เวลาเขาขาดแคลนผ้าสะอาดและสำลี เขายังเอาผ้าอนามัยที่สะอาดและยังไม่ได้ใช้มาใช้แทน แต่ที่คนรังเกียจ ไม่กล้าจับ คงเป็นเพราะอิทธิพลความเชื่อของฮินดูหรือพราหมณ์ ที่ว่าประจำเดือนของผู้หญิงเป็นของต่ำ ในรายการ "คลายปม" ผมก็เลยแกะซองพลาสติก เอาผ้าอนามัยที่ยังไม่ได้ใช้ออกมาซับเหงื่อโชว์ หวังจะให้คนได้คิดว่าผู้หญิงหรือประจำเดือนของผู้หญิงไม่ควรทำให้ผู้หญิงต่ำ ต้อยหรือแปดเปื้อน คล้ายกับที่คุณมีชัย วีระไวทยะ เคยนำถุงยางอนามัยมาเป่า เอาน้ำมันหล่อลื่นของถุงยางอนามัยมาทาหน้าแทน after shave

ถ้าจะไม่เห็นด้วย เพราะเชื่อว่า ผ้าอนามัยที่ยังไม่ได้ใช้ (คือสำลีและผ้าก็อต) เป็นของที่ผู้ชายไม่ควรแตะต้อง หากจะวิจารณ์ด่าว่าผมตรงๆ ก็ยังดี และตรงประเด็น เพราะจะได้ถกเถียงกันในอีกหลายประเด็น อันจะเป็นประโยชน์แก่การยกระดับสิทธิสตรี แต่การนำเรื่องนี้ไปปราศรัยโจมตีแบบพูดจริงครึ่ง ตีไข่ใส่สีอีกครึ่ง มุ่งทำลายความน่าเชื่อถือของตัวคนมากกว่าจะถกเถียงในประเด็นสาระสำคัญ เป็นวิธีการที่วิญญูชนเขาไม่ทำกันครับ

ผู้สนใจความจริงแบบไม่ต้องรอให้ใครปลุกระดมมาป้อน สามารถดูรายการ "คลายปม" ย้อนหลังได้ที่ www.watchdog.co.th วันที่ 23 ม.ค.2554



3) จดหมายเปิดผนึกยังต่อว่าผมด้วยว่า "...เมื่ออาจารย์พยายามลดการโจมตีนายกรัฐมนตรีในเรื่องคุณราตรีและคุณวีระ อาจารย์ใช้ความชาญฉลาด เชิญ ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ มาออกรายการ และถามนำให้คนสมถะเช่น ร.ต.แซมดิน เพื่อชี้นำให้เห็นว่าการติดคุกเปรย์ซอร์ ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย..."

เรื่องนี้ ผมไม่ได้ฉลาดเชิญ ร.ต.แซมดิน และไม่ได้ถามนำอะไรดอกครับ ข้อเท็จจริงคือ ผมได้นำคลิปวีดีโอนั้น มาจาก "สันติอโศก" ที่ถ่ายจากการชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาลเมื่อครั้งคุณแซมดินและสุภาพสตรีของ สันติอโศกอีกท่านหนึ่งได้พ้นออกจากคุกเขมร คนดำเนินรายการ คนเชิญ คนถ่ายทำ ล้วนไม่ใช่ผม และในรายการยังมีพ่อท่านโพธิรักษ์ สมณะอีกรูปหนึ่ง และคุณอำพา สันติเมธนีดล จาก ASTV ร่วมรายการที่ชุมนุมหน้าทำเนียบ ซึ่งผมไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมด้วย ผมก็แค่นำคลิปที่ได้รับมอบจากสันติอโศกไปออกอากาศเท่านั้นเอง

ผมไม่ฉลาดเชิญใครมาเป็นเครื่องมือได้ขนาดนั้นหรอกครับ

หากยังสงสัย ไม่เชื่อผม แต่เชื่อผู้ปราศรัยบนเวที ASTV ก็สอบถามทางสันติอโศกดู หรือจะเข้าดูรายการ "คลายปม" ด้วยตัวท่านเองก็ได้ ที่ www.watchdog.co.th วันที่ 30 ม.ค.2554

ใจจริงผมอยากจะบอกว่า ก่อนจะกล่าวหาใครหรือเชื่อใคร เราควรพิจารณาข้อมูลข่าวสารให้รอบด้านนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเราอยู่ห่างไกลจากจุดเกิดเหตุ อยู่ต่างแดน ก็ยิ่งควรจะแสวงหาข้อมูลจากแหล่งที่มาต่างๆ ไม่ใช่ซึมซับรับทราบแต่เฉพาะข้อมูลใส่สีตีไข่จากผู้นำปราศรับบนเวทีบางคน เพียงอย่างเดียว



4) ทั้งหมดนี้ ผมไม่ได้ปรารถนาจะต่อความยาวสาวความยืด หรือตอบโต้ใครทั้งสิ้น

ที่ผ่านมา เมื่อมีการกล่าวหาผม ผมก็ขอออกมาชี้แจงบ้าง แต่กลับมีการบิดเบือนอีก โดยไพล่ไปบอกว่าผมออกมาโต้พันธมิตรแทนรัฐบาล ปกป้องรัฐบาล ทำแบบนี้ไม่งดงามเลยครับ

ภรรยาผมกำลังจะเกษียณอยู่แล้ว ยังนำมากล่าวหาใส่ร้ายว่าอยากเป็นปลัดกระทรวง ทำให้ผมต้องเอาใจรัฐบาล

ผมเคยทำหนังสือ "ร้อยฝันวันฟ้าใหม่" - "การเมืองไทยหลังรัฐประหาร" - "เขียนรัฐธรรมนูญอย่างไรไม่ให้ถูกฉีก" ของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็นำมาโยงใยเพื่อกล่าวหา โดยไม่ดูว่าตอนที่ผมทำ "ร้อยฝันวันฟ้าใหม่" และหนังสือของคุณอภิสิทธิ์เหล่านี้ เขายังเป็นผู้นำฝ่ายค้าน ยังต่อสู้กับทักษิณและหุ่นเชิดอยู่เลย

สำนักพิมพ์ฃอคิดด้วยฅน ทำหนังสือ "ประเทศไทยของเราอย่าให้ใครเผาอีก" ของคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็นำมาโยงใยกล่าวหาว่าผมปกป้องรัฐบาลโดยไม่ดูเนื้อหาสาระของหนังสือเล่มนั้น ว่านำเสนอข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติส่วนรวมอย่างไร และประชาชนเขาอยากจะซื้ออ่านหรือไม่

อันที่จริง สำนักพิมพ์ฃอคิดด้วยฅน เคยทำหนังสือกับอีกหลายคนครับ โดยเฉพาะในชุด "รู้ทันทักษิณ" คนเขียนมีตั้งแต่ ศ.นพ.ประเวศ วะสี อาจารย์เกษม ศิริสัมพันธ์ อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ศ.ดร.อัมมาร สยามวาลา พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ ท่านประเสริฐ นาสกุล เรื่อยไปจนถึงคุณเสนาะ เทียนทอง อาจารย์ใจ อึ๊งภากรณ์ อาจารย์พิภพ ธงไชย อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ อาจารย์วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณิน บุญสุวรรณ อาจารย์สุขุม นวลสกุล อาจารย์โคทม อารียา หรือแม้แต่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล และ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ฯลฯ (ขออภัยท่านที่ไม่ได้เอ่ยชื่อ)

ถึงวันนี้ แม้หลายท่านที่เอ่ยถึงข้างต้น บางคนจะมีจุดยืนต่อระบอบทักษิณเปลี่ยนไปแล้วหรือไม่อย่างไร แต่ผมยืนยันได้ว่า ข้อเขียนที่ท่านเหล่านั้นร่วมตีพิมพ์ในหนังสือชุด "รู้ทันทักษิณ" ณ วันนั้น ล้วนเป็นมุมมองที่มีประโยชน์ต่อประเทศชาติทั้งสิ้น

และถึงวันนี้ จนถึงนาทีนี้ โดยส่วนตัวของผมเอง จุดยืนก็ยังคงอยู่ที่เดิมไม่เปลี่ยนแปลง

สุดท้าย... กรุณาอย่ากล่าวหา ด่าว่า หรือเชื่อว่า เพียงเพราะได้ยินเขาว่ามาเลยครับ หากมันไม่สะท้อนความไม่ใส่ใจติดตามวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารด้วยตนเอง มันก็จะสะท้อนเจตนาที่ต้องการกระพือความเข้าใจผิดเกี่ยวกับผู้อื่น

ขอยืนยันกับคุณบรรจบและอาจารย์ปราโมทย์ครับ ผมไม่ได้เป็นคนชั่ว หรือผู้ไม่ประสงค์ดีต่อพันธมิตรและสังคมไทย

เพียงเพราะผมไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมกับ ASTV ในครั้งนี้ กรุณาอย่ายัดเยียด ผลักไสให้ผมเป็นคนเลวหรือป้ายสีให้ผมเป็นคู่ต่อสู้ทางการเมืองของพวกท่านเลย

ผมยังมีความรู้สึกดีกับพี่น้อง "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" ในอดีต เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง (ผมเชื่อว่าคนจำนวนไม่น้อยรู้สึกเช่นนี้) หากผมจะมีความสงสัยอยู่บ้างก็ตรงที่ว่า ใครกันหนอที่พยายามปลุกปั่นยัดเยียดความเกลียดชังใครต่อใครให้เกิดขึ้นในการ ชุมนุมของ ASTV รอบนี้?

และเขาทำอย่างนั้นไปทำไม?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ประชาธิปไตย เป็นจิตวิญญาณของเรา