"สดศรี" สวมบท "ตัวประกอบ"
" ...(ข่าวปฏิวัติ) มาจากแหล่งที่มาจากทหารด้วยกันพูดในลักษณะนั้น อย่าลืมว่าสภาพการเมืองที่แตกแยก โอกาสที่จะเกิดเหล่านี้ง่ายมาก โอกาสมีต่างชาติมาแทรกซึมก็ง่ายเพราะบ้านเมืองไม่แข็งแกร่ง รัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ และมีการสะสมกระสุนดินดำเพื่อเลือกตั้งทำให้ประชาชนเดือดร้อน สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยหมด""เลือกตั้งครั้งหน้ารุนแรงแน่ ดิฉันคิดว่าถ้าปฏิวัติได้ปฏิวัติเลยไม่อยากให้มีเลือกตั้งเหนื่อยมาก 4 ปีที่ผ่านมา"
คือวาทะเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554 ที่ "สดศรี สัตยธรรม" หนึ่งใน 5 เสือ "คณะกรรมการการเลือกตั้ง" (กกต.) เริ่มเปิดไฟเขียว "อำนาจพิเศษ" ให้ออกมาจัดระเบียบกระดานการเมืองไทย 21 มีนาคม 2554 "สดศรี" บอกได้กลิ่น "อำนาจนอกระบบ" จะหวนคืนอีกครั้ง พูดระหว่างวงสัมมนา "สถาบันพระปกเกล้า" ว่า มีความพยายามบีบบังคับให้ กกต.ลาออกเพื่อนำไปสู่การปฏิวัติ
24 มีนาคม 2554 "สดศรี" ย้ำอีกครั้งถึงความอึดอัดและเบื่อหน่ายในการทำหน้าที่ กกต. เพราะการเมืองที่รุมเร้าอย่างหนักหน่วง เป็นเหตุให้ตัดสินใจสมัครเป็น "คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย" หากได้รับการคัดสรรก็จะทิ้งเก้าอี้ กกต.ทันที
ในขณะที่ 4 พระเอกเสือผู้คุมเกมเลือกตั้งเลือกเล่นบท "แนวหลัง" ยังปิดปากเงียบ ส่งสัญญาณมุ่งมั่นเดินหน้าจัดเลือกตั้งอย่างเดียว
บทบาทของ "สดศรี สัตยธรรม" จึงถูกตีความว่าเป็นหนึ่งในตัวละครเอกเคลื่อนไหวลับๆ เพื่อหวังล้มกระดานเลือกตั้ง
ในวันที่ซี่รีส์หนังการเมืองไทยยังคงฉายซ้ำเรื่อง "รถถัง" ออกมาเหยียบย่ำ "ประชาธิปไตย" "สดศรี สัตยธรรม" ผู้มีหน้าที่จัดเลือกตั้ง บอกเล่าถึง "กลิ่นปฏิวัติ" ที่เธอสัมผัสและได้ยินมาให้ฟังด้วยความระทึกใจดังนี้...
เป็น กกต.แต่จู่ๆ ทำไมถึงออกมาพูดเหมือนยุให้มีการปฏิวัติจนสังคมเริ่มเชื่อว่าสนับสนุนอำนาจพิเศษให้เข้ามาจัดการ
ไม่ ใช่เลยค่ะ ในเรื่องการพูดถึงเรื่องการปฏิวัติ วันนั้นมีการประชุมภายในองค์กร วันนั้นพูดกับหัวหน้างานก็พยายามให้กำลังใจเพื่อให้รู้สึกว่ารักองค์กรเพราะ คนอยู่ในองค์กรนี้ไม่ค่อยรักองค์กร ส่วนเรื่องปฏิวัติคุยกันวันนั้นว่าจะมีการปฏิวัติ ก็พูดว่า (เสียงดัง) ก็ดีเหมือนกันนะจะได้เลิกกันไป ก็คือถ้าปฏิวัติองค์กรนี้ก็ยุบเลยทันที ไม่ใช่แค่ กกต. แต่เป็นทั้งหมดเลยจะเลิกไป อาจจะไม่มีการตั้งขึ้นมาใหม่ก็ได้ คือการพักผ่อนระยะยาวของเรา กกต.ทั้ง 5 คนก็หลุดไม่มีใครจะได้อยู่ เขาอาจจะตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นมา หรือตั้ง กกต.ชุดใหม่มาทำงาน คณะปฏิวัติสามารถทำได้ทุกอย่าง แม้แต่ล้มศาลก็ทำได้
แต่คำพูดนี้แปลได้ว่าท่านเชียร์ปฏิวัติ
ไม่ ใช่ แต่เป็นลักษณะของการประชดมันก็อาจเหมือนเรียกร้องให้ทำการปฏิวัติก็ไม่มีใคร อยากพูดถึงให้ปฏิวัติ เราอยากเตือนรัฐบาลที่มีอำนาจ เพราะพรรคการเมืองอาจจะเลิกไปเลยคือการเตือนและเตือนเจ้าหน้าที่เราด้วยว่า ให้ตั้งใจทำงาน
นอกจากอยากประชดรัฐบาลแล้ว แสดงว่าท่านได้รับสัญญาณหรือได้ยินจะมีการปฏิวัติเกิดขึ้น
จาก การพูดคุยกับคนอื่นรวมทั้งทหาร เขาก็มีการพูดถึงว่าเขามีตัวแล้วว่าเป็นใคร ก็มีคิดว่าขนาดนี้เชียวเหรอ ไม่อยากพูดนะว่าใครที่ได้ไปคุยด้วย จะมีรัฐบาลที่ตั้งขึ้นตาม มาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญเชียวเหรอ ก็ถามว่าถ้าทหารปฏิวัติเสื้อแดงจะลุกฮือไหม แน่นอนรบกันเลย ถามว่า ใครจะเป็นเหยื่อ เหยื่อก็คือพวกเราประชาชนต้องตายกัน มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าใช้ปฏิวัติเงียบก็ต้องใช้อาวุธใช้รถถังกัน เชื่อว่าการปฏิวัติครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมวลชนขณะนี้ที่เพิ่มขึ้นมากและสามารถหักเหวิถีทางการเมืองได้ ทหารไม่ใช่ทำอะไรง่ายๆ เมื่อทำแล้วคุณต้องปราบ เมื่อปราบแล้วคนต้องตาย
เท่าที่ได้ยินข่าวปฏิวัติไปไกลขนาดไหนแล้ว
ข่าวถึงขนาดว่าใครจะได้เป็น มท.1 (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย)
ใช่กลุ่มที่เป็นคนวงเดิมๆ เมื่อ 19 กันยายน 2549 หรือไม่
ไม่ ใช่ แต่เป็นทหารก็มีการคุยกันก็เตือนกันว่าอย่าทำกันอย่างนี้ระวังจะมา ดิฉันก็ขำว่าพูดไปพูดมาเดี๋ยวดิฉันจะกลายเป็นหัวหน้าปฏิวัติไปเลย (หัวเราะ) ดิฉันชอบไปนั่งคุย ไปคุยแล้วก็มีข่าวมาในลักษณะนี้ตลอด
ท่านพูด เรื่องปฏิวัติ จังหวะเดียวกับพรรคเพื่อแผ่นดินและกลุ่มพันธมิตรพูดถึง มาตรา 7 เป็นไปได้หรือไม่ที่กระแสนี้มีแหล่งที่มาที่เดียวกัน
ข่าว นี้น่าจะมาจากแหล่งที่มาจากทหารด้วยกันพูดในลักษณะนั้น อย่าลืมว่าสภาพการเมืองที่แตกแยก โอกาสที่จะเกิดเหล่านี้ง่ายมาก โอกาสมีต่างชาติมาแทรกซึมก็ง่ายเพราะบ้านเมืองไม่แข็งแกร่ง รัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ และมีการสะสมกระสุนดินดำเพื่อเลือกตั้งทำให้ประชาชนเดือดร้อน สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยหมด
เท่าที่ฟังทหารจะนำรถถังออกมาปฏิวัติ หรือเป็นแบบปฏิวัติเงียบ
(ตอบ สวน) น่าจะเป็นปฏิวัติเงียบ มองย้อนไปสมัยท่าน พล.อ.ชาติชาย (ชุณหะวัณ อดีตนายกฯ) ที่ถูกจี้ตัว แบบนั้นมันโฉ่งฉ่าง เท่าที่คุยกับทหารคิดว่าน่าจะปฏิวัติเงียบ แต่ถามว่า (เสียงดัง) กลุ่มมวลชนที่รวมกันในขณะนี้จะยอมไหม ไม่ยอมแน่ เพราะเสื้อแดงต้องการให้เลือกตั้ง ขณะเดียวกัน เสื้อเหลืองไม่ต้องการ มันเป็นคนละขั้วคนละค่าย ทำให้มีปัญหากันว่าทหารเข้ามาทำง่ายไหม และจากการพูดคุยกันก็ได้ยินถึงขนาดว่า ไม่ต้องเคลื่อนกำลังหรอก รอมวลชนเท่านั้นเอง มวลชนในที่นี้เราก็ไม่รู้ว่าอะไรจะตีกันหรือเปล่า
ทหารได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือขอให้ท่านช่วยทำอะไร
ก็คุยกันแบบเพื่อนฝูง ไม่ได้ขอให้ช่วย
เงื่อนไขที่ผู้ใช้อำนาจพิเศษจะบีบ กกต.ให้เหลือน้อยกว่า 3 คนเพื่อล้มเลือกตั้งยังเป็นไปได้ไหม
เขา ไม่ได้มอง กกต. เพราะเขาใช้กำลังทหารนิดเดียวก็สามารถจี้ให้รัฐบาลลาออก สามารถให้ยึดได้ เรากำลังหลงประเด็นว่า กกต.มีความสำคัญมากไม่ใช่เลย แต่ดิฉันมองประเด็นอื่น เรายังนั่งขำว่าที่ดิฉันไปสมัครกรรมการปฏิรูปกฎหมายก็ไม่เกี่ยวกันเลย ดิฉันได้คุยกับฝ่ายความมั่นคงเขาก็บอกว่าได้เตรียมการแล้ว จริงหรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่เขาไม่ได้สนใจ กกต. เรื่องนี้เราไม่ใช่พระเอก นางเอก (หัวเราะ) เราเป็นแค่ตัวประกอบ
แต่ท่าทีของท่านถูกมองว่าเปิดประตูให้การปฏิวัติแล้ว
ไม่ ใช่ ตอนนี้ดิฉันยังภูมิใจที่คนมาโฟกัสที่ตัวเอง แต่ก็ไม่ขำที่มองเราเป็นตัวเอก ทั้งที่เราไม่ได้มีอะไรเลย ถ้าคิดว่าดิฉันลาออกไปสมัคร ส.ส.จะมีคนเลือกเยอะหรือไม่ (หัวเราะ) ไม่ใช่เลย ดิฉันไม่มีอิทธิพลขนาดนั้น บางครั้งที่พูดกับเจ้าหน้าที่ กกต.ว่าถ้าเหนื่อยนักก็จะได้พักยาว ..ปฏิวัติซะเลยก็ดีเหมือนกันนะ
กำลังบอกว่าท่านไม่ใช่นางเอก และ กกต.ไม่ใช่พระเอกของแผนการปฏิวัติเงียบ
ไม่ ใช่ แต่ตอนนี้เขาพยายามให้ดิฉันเป็นนางเอก ซึ่งก็บอกว่าน่าจะให้คนอื่นเป็นนางเอกมากกว่า เรามันเป็นแค่สีสันอย่างหนึ่ง ว่าไอ้นี่จะต้องเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่ใช่ เพราะรู้ดีว่าทำอะไรอยู่ขณะนี้ ก็ที่บอกไปว่าเขาไม่มอง กกต.เป็นตัวเอก ตัวเอกคือตัวคนที่ทำการปฏิวัติรัฐประหาร ดิฉันว่าประเทศไหนก็ตามถ้าให้ความสำคัญกับผู้ที่ถืออาวุธแล้วแน่นอนเขาก็คิด ว่าเขาเป็นตัวเอกมากกว่า เพราะอาวุธสามารถไปทำอะไรก็ได้ แต่ถ้าเราให้เขาเป็นตัวเอกเขาก็คิดว่าทุกคนกลัวการปฎิวัติรัฐประหาร แต่สภาวการณ์บ้านเมืองไม่เหมือนปี 2549 แล้ว และเป็นเรื่องที่สะสม ภูเขาไฟคุกรุ่นอยู่
ถ้าสุดท้ายแล้ว กกต.ต้องออกประกาศ กกต.เพื่อจัดการเลือกตั้ง จะลาออกจากตำแหน่งไหม
ถ้า มีประกาศ กกต.ขณะที่ไม่ได้รับเลือกเป็นกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ก็ยังต้องทำงานต่อ แต่คงต้องทำเรื่องคัดค้าน ดิฉันอยากไม่เป็นจำเลยในคดีนี้ด้วย พูดจริงๆ นะคะ ดิฉันรู้สึกเหนื่อยและเบื่อมาก อายุ 60 กว่าแล้ว ทุกวันนี้นอนแค่ 3 ชั่วโมง นอนตี 1 ตี 2 ต้องตื่น 6 โมงเช้า ความจริงร่างกายคนเรามีเวลาการใช้งาน ถามว่า 60 ปีแล้วจะทนรับสภาพแรงกดดันนี้มากๆ ได้ไหม ไม่ใช่เฉพาะแต่ดิฉัน เป็นกันทุกท่าน ไม่งั้น กกต.ท่านอื่นไม่เข้าโรงพยาบาลบ่อยๆ หรอก ตอนนี้ดิฉันเริ่มเป็นโรคความดันสูง ขณะที่กระเพาะปัสสาวะก็มีปัญหา
มีโพลสำรวจการเลือกตั้งทั้งทางลับและทางแจ้ง บอกตรงกันว่าพรรคเพื่อไทยชนะ ซึ่งอาจทำให้ผู้กำหนดโปรแกรมประเทศไทยรับไม่ได้
ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้กำหนดโปรแกรมของประเทศไทยคะ (หัวเราะ)
พูดกันว่าแม้จะชนะก็ไม่รู้จะได้ตั้งรัฐบาลหรือเปล่า และที่สำคัญใบแดงสะพัดแน่นอน
อยาก ให้วงจรกลับไปที่เก่าเมื่อปี 2550 จะมีการยุบพรรคไหม จะมีวงจรจัดการกับใครไหม นี่ไม่ใช่ใบสั่งของเรา ถามว่าในส่วนตัวดิฉันยืนยันว่าไม่มีใครสั่ง เพราะอาจไม่อยากจะยุ่งกับเราก็ได้ ดิฉันไม่อยากให้วงจรกลับเหมือนปี 2550
พรรคประชาธิปัตย์คือกลุ่มไม่ชนะ เป็นรัฐบาลมา 2 ปีก็ไม่ได้ผล แล้วกลุ่มนี้ยังจะถูกใช้ต่ออีกหรือไม่
ถ้า เด็กที่ว่านอนสอนง่าย ปกครองง่ายกว่าเด็กดื้อ พ่อแม่ปู่ย่าตายายพูดอะไรก็ทำตามดีกว่าเด็กดื้อ เป็นเรื่องธรรมชาติ อยู่ที่ว่าจะหาเด็กใหม่ไหม หรือว่าเด็กเก่าจะกลับตัว?
มองโอกาสเกิดกลุ่มที่ไม่ได้ลงเลือกตั้งแต่ได้จัดตั้งรัฐบาลพิเศษบ้างไหม
นั่นเขาเรียกว่าปฏิวัติเงียบแล้ว (หัวเราะ) มาตั้งรัฐบาลแห่งชาติ เสียงก็มาอื้ออึงว่าจะมีรัฐบาลแต่งตั้งขึ้นมา
เมื่อ ปี 2549 เคยมีกระแสพระราชดำรัสของในหลวง เกี่ยวกับมาตรา 7 ที่ชัดเจนแล้วว่าการขอนายกฯพระราชทานไม่ได้เป็นการปกครองแบบประชาธิปไตย
ไม่ อยากจะดึงพระองค์ท่านลงมา พวกเราควรจะจัดการกันเอง ถ้ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่สามารถแก้ปัญหาค่าครองชีพได้ ก็ถามว่าถึงเวลาสมควรไหมให้โอกาสพรรคอื่นมาทำ มันเป็นเรื่องครรลองประชาธิปไตยว่าเลือกพรรคไหนมาเสียงข้างมากก็จะได้ตั้ง รัฐบาล แต่ที่พลิกผันเสียงข้างน้อยได้ตั้งรัฐบาลก็เป็นไปได้ และเมื่อเป็นไปแล้วท่านต้องแสดงบทบาทแม้จะเป็นเสียงข้างน้อยก็จะบริหาร ประเทศได้
ถ้าเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบหรือทางออกก็อาจเลือกวิธีไม่ต้องมีเลือกตั้งก็ได้
ถาม ว่าขณะนี้สถานการณ์เหมือนเลือกตั้งเมื่อปี 2550 หรือไม่ อย่าลืมมวลชนได้มีการจัดตั้งปึกแผ่นมากต้องระวัง ถามว่าผู้กำหนดทิศทางประเทศกลัวไหมจุดนี้ ถ้ามีการกลับมาสู่กรณีเหตุการณ์เหมือนปี 2550 มีการยุบพรรคกัน มวลชนเหล่านี้จะดำเนินการอย่างไร แน่นอนลุกเป็นไฟ เชื่อว่าเหตุการณ์ของปี 2550 กับ 2554 จะต่างกันตรงจุดนี้ เพราะภาวการณ์มันต่าง ที่ผ่านมาสะสมจากที่ชอบพูดกันว่าสองมาตรฐานก็ดี มีการปฏิบัติไม่เท่าเทียมกันก็ดี มีการพิจารณาคดีไม่เหมือนกัน เหล่านี้มันเกิดการสะสม เราอย่าดูถูกประชาชน เหมือนกับสะพานที่แข็งแกร่งถ้าน้ำมารวมกันจากสายโน้นสายนี้ พลังของมันก็สามารถพังสะพานได้ ในกรณีถ้ามีการปฏิวัติรัฐประหาร ก็ต้องระวังมวลชน ทุกคนมีจุดจบและจุดระเบิด เหมือนภูเขาไฟมีคุกรุ่นไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งอาจจะระเบิดขึ้น และคนรับเคราะห์คือประเทศ ดิฉันไม่อยากให้ถึงจุดนั้น เมื่อเราจัดเลือกตั้ง ก็ไม่อยากขึ้นศาลในคดีการเลือกตั้งเป็นโมฆะ หรือถูกฟ้องว่าประกาศ กกต.ไม่ชอบ
แล้วทำไมข่าวลือปฏิวัติเกิดขึ้นในปี 2554 ได้ทั้งที่ปัจจัยต่างจากปี 2549
อาจ จะดูจากหลายปัจจัย เช่น ผบ.ทบ.พูดเหมือน จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (อดีตนายกฯ) ซึ่งอาจจะเป็นที่บุคลิกของท่าน (หัวเราะ) เดาว่าคนอาจจะมองตรงนั้น และจุดไม่พอใจรัฐบาลรวมทั้งมวลชน 2 สี ก็ไล่รัฐบาลเหมือนกันเจตนาตรงกัน คือการคงอยู่รัฐบาลจะต้องเกิดจากความศรัทธาของประชาชน รัฐบาลไหนที่ประชาชนเสื่อมศรัทธาก็ไปได้ยาก
นับจากชั่วโมงการเมืองนี้เป็นต้นไป มองว่าการเลือกตั้งกับปฏิวัติเงียบ อะไรจะเกิดก่อนกัน
เลือก ตั้งกับปฏิวัติเหรอ...การปฏิวัติที่โฉ่งฉ่างทหารไม่ทำหรอก อยู่เฉยๆ สบายแล้ว ไม่ต้องขวนขวายอะไร กับการที่จะยกรถถังมายึดอำนาจ ก็ต้องถูกต่อต้านจากมวลชน มันไม่คุ้มกันหรอก ต่างชาติก็ไม่ยอมรับ เหตุการณ์ที่ลิเบียเราก็เห็นแล้ว เหนือฟ้าก็ยังมีสหประชาชาติ เชื่อว่าการเลือกตั้งมีแต่ก็คงจะมีมาพร้อมปัญหาที่มวลชนและฝ่ายไม่ยอมกัน แต่สุดท้ายการเลือกตั้งก็ต้องมี
แล้วสงครามของคนการเมืองจะจบลงแบบใด
จะ ออกในรูปแบบคัดค้านกัน คือจะฟ้องร้องกันเพื่อให้อีกฝ่ายได้ใบเหลืองและใบแดงมากที่สุด เพราะเดิมพันด้วยการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคที่ได้เสียงนำ แถมทุกวันนี้ยังมีแนวทางว่า แม้ ส.ส.น้อยกว่าก็ตั้งรัฐบาลได้ ทำให้ผู้ที่รับภาระหนักที่สุดก็คือ กกต.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ประชาธิปไตย เป็นจิตวิญญาณของเรา