เมื่อถูกคุกคาม!!!
ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา ผมได้เขียนบทความทางวิชาการและข้อเขียนอื่นๆ และได้พูดอภิปรายเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ โดยที่ในการกระทำต่างๆเหล่านี้ไม่เคยเลยแม้แต่ครั้งเดียวที่ผมจะเสนอให้ “ล้มเจ้า” หรือ “ล้มเลิกสถาบันกษัตริย์” สิ่งที่พูดและเขียนทั้งหมดล้วนอยู่ในกรอบของการมีสถาบันกษัตริย์ทั้งสิ้น ขณะเดียวกัน ผมก็ไม่ปิดบังทัศนะที่ว่า สถาบันกษัตริย์ควรต้องมีการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการปกครองในแบบประชาธิปไตย, หลักนิติธรรมและพัฒนาการของโลกสมัยใหม่ ซึ่งทัศนะหรือการเสนอให้เปลี่ยนแปลง ปรับปรุงสถาบันกษัตริย์เช่นนี้ เป็นสิ่งที่ทำได้ ไม่ผิดกฎหมาย ทั้งรัฐธรรมนูญและกฎหมายอาญา ผมจึงได้พูดและเขียนโดยใช้ชื่อจริงอย่างเปิดเผยมาโดยตลอด เมื่อต้นปีกลาย (2553) ผมได้รวบรวมความเห็นเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ออกมาเป็นข้อเสนอ 8 ข้อ เสนอต่อสาธารณชนโดยเปิดเผย และเป็นที่รู้จักกันดีพอสมควร ส.ว.คำนูณ สิทธิสมาน ยังได้เคยนำข้อเสนอ 8 ข้อนี้ ไปตีความเผยแพร่และอภิปรายในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ฉบับวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2553 มาแล้ว
การอภิปรายของผมเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2553 และการพูดหรือเขียนในโอกาสต่อๆมา ก็ล้วนแต่ทำขึ้นภายใต้กรอบข้อเสนอที่ไม่ผิดกฎหมาย เรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ที่มีรูปธรรม 8 ข้อนี้ทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม หากเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายพลเรือนหรือทหาร เห็นว่า การกระทำของผมเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ผมก็ยินดีจะชี้แจงโต้แย้งข้อกล่าวหาดังกล่าวตาม
กระบวนการทางกฎหมายทุกประการ ไม่เคยคิดที่จะหลบเลี่ยงแต่อย่างใด และดังที่ทราบกันดี ในส่วนของประชาชนอื่นๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับผม ผมก็พร้อมและก็ได้เคยทำการโต้แย้งแลกเปลี่ยนด้วยโดยเปิดเผยเสมอ
แต่ในระยะ 2 สัปดาห์เศษที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ของรัฐได้มีการสร้างบรรยากาศตึงเครียด กดดันในข้อหาที่เรียกกันว่า “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ผู้บัญชาการทหาร
บกได้ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา โจมตี “นักวิชาการโรคจิต” ที่ “จ้องทำลายสถาบัน” หลังจากนั้น การออกมาให้สัมภาษณ์รายวัน และตบเท้าแสดง
กำลังของทหาร ตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน เป็นต้นมา ในเรื่องข้อกล่าวหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” แม้จะไม่เกี่ยวข้องพาดพิงถึงผม ก็ได้สร้างบรรยากาศแห่งความ
น่าหวาดกลัวให้กับสังคมไทยในเรื่องนี้ ในส่วนที่เกี่ยวกับตัวผมเองนั้น เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ได้มีบุคคลระดับนำของรัฐบาล เปิดเผยเป็นส่วนตัวว่า มีแรงกดดันจาก
ทหารให้ดำเนินการกับผมเป็นการเฉพาะ นอกจากนี้ก็ยังมีการเปิดเผยจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงบางคนถึงการเตรียมที่จะ จัดการทางกฎหมายกับผม
ดังที่ได้กล่าวในตอนต้นว่า สิ่งที่ผมได้ทำไปในเรื่องนี้ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ไม่ผิดกฎหมาย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในระยะไม่กี่วันที่ผ่านมาคือ ภายใต้การแสดงกำลังรายวันของ
ทหารที่ทำให้เกิดบรรยากาศของความหวาดกลัวใน เรื่องนี้ ได้มีปรากฏการณ์แปลกๆเกิดขึ้นที่เกี่ยวกับผมโดยตรง เช่น เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีชาย 2 คนขี่
มอเตอร์ไซต์ 2 คัน เข้าไปวนเวียนในหมู่บ้านผม 2 ครั้ง เมื่อยามหมู่บ้านถาม ก็ได้รับคำตอบแต่เพียงว่า “มารับตัวอาจารย์” โดยไม่มีการแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่หรือ
มีเอกสารราชการมาแสดงแต่อย่างใด นอกจากนี้ ยังมีโทรศัพท์ลึกลับไปยังบ้านผมเตือนให้ระมัดระวังตัวว่า ขณะนี้หน่วยงานด้านความมั่นคงบางหน่วย ได้จัดกำลัง
เจ้าหน้าที่หลายสิบนายคอยเฝ้าติดตามผมอยู่ตลอดเวลาโดยใกล้ชิด พร้อมจะดำเนินการจับกุมผมได้ทันทีที่ได้รับคำสั่ง
ผมขอย้ำว่า ผมกระทำการวิพากษ์วิจารณ์และเสนอเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์โดยเปิดเผย และภายใต้กรอบของกฎหมายเสมอมา แต่ขณะเดียวกันภายใต้
บรรยากาศและสิ่งแปลกๆที่เกิดขึ้นดังกล่าวข้างต้น ผมรู้สึกจำเป็นที่จะต้องเรียนสื่อมวลชนและสาธารณชนและฝากผ่านไปยังเจ้า หน้าที่รัฐว่า สิทธิในการแสดง
ความคิดเห็น และวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับสถานะของสถาบันกษัตริย์นั้น เป็นสิทธิที่ชอบธรรมและได้รับการรับรองตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล และแม้แต่ในหลัก
กฎหมายรัฐธรรมนูญของไทยเอง ในส่วนที่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เรียกว่า “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” นั้น หากจะมีการดำเนินการอย่างใด ไม่ว่าในกรณีผมเอง
หรือกรณีอื่นๆ ก็ควรดำเนินการไปตามแนวทางของกฎหมายโดยปรกติ ควรหยุดการสร้างบรรยากาศของความหวาดกลัวที่เอื้ออำนวยให้กับการใช้อำนาจนอก
ระบบไม่ว่ารูปแบบใดๆ ไม่ว่าจะต่อผมเองหรือผู้ถูกกล่าวหาอื่นๆ การออกมาแสดงกำลังรายวันของทหารเป็นเวลาถึง 10 กว่าวันติดต่อกัน ภายใต้ข้ออ้างเรื่อง “หมิ่น
พระบรมเดชานุภาพ” ไม่ใช่การปฏิบัติในลักษณะที่เป็นไปตามครรลองของกฎหมาย และมีแต่จะส่งเสริมให้เกิดการกระทำที่นอกเหนือจากครรลองของกฎหมายตามมาได้
ผมขอย้ำว่า ผมมีความบริสุทธิ์ใจและเปิดเผยในสิ่งที่ตัวเองทำมาตลอด หากทางเจ้าหน้าที่มีปัญหาก็สามารถเรียกให้ผมเข้าพบ ซึ่งผมก็พร้อมเสมอที่จะเข้าพบชี้แจง
ไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องออกหมายจับตัว หรือส่งคนคอยควบคุมการเคลื่อนไหวใดๆ หรือใช้วิธีการกดดันตลอดจนวิธีการที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย และหากถึง
ขั้นมีการตั้งข้อหาดำเนินคดี ผมก็พร้อมใช้สิทธิต่อสู้คดีและขอประกันตัว เพราะผมเองมีงานราชการสอนหนังสือและวิจัยทางวิชาการที่จะต้องทำอยู่ตลอดเวลา
และไม่เคยคิดที่จะหลีกเลี่ยงหรือหลบหนีใดๆ ผมเชื่อว่า การปฏิบัติเช่นนี้ จึงจะเป็นบรรทัดฐานที่ถูกต้องไม่เพียงแต่ในกรณีตัวผมเอง แต่รวมทั้งกรณีอื่นๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย
จึงเรียนมาเพื่อให้ทุกท่านพิจารณา
อ.ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
24 เมษายน 2554
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ประชาธิปไตย เป็นจิตวิญญาณของเรา