เครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคม เลขทะเบียน ๘๖๙ สภาพัฒนาการเมือง สถาบันพระปกเกล้า

อุดมการณ์สถานักพัฒนาเพื่อประชาธิปไตย

เรา...มั่นใจว่า
ประชาธิปไตย เป็นจิตวิญญาณของเรา
ประเทศไทย เป็นของเราทุกคน
เรา ต้องร่วมกันสร้างชาติไทย ให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์

ขอไว้อาลัยต่ออการจากไปของ ดร.พีรพันธ์ พาลุสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ขอไว้อาลัยต่ออการจากไปของ ดร.พีรพันธ์  พาลุสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554

ยุติปมเหลื่อมล้ำสุขภาพ ด้วย"กระบวนการยุติธรรม"

ปมพิพาทกรณี “ความเหลื่อมล้ำ” ในระบบประกันสุขภาพ


ระหว่างผู้ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือบัตรทอง ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กับผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ที่มีสำนักงานประกันสังคม (สปส.) เป็นผู้กำกับการบริการ ก้าวเข้าสู่เดือนที่ 3 ของความพยายามถางทางออก

ย้อนกลับไปช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มี “สัญญาณ” อ่อนๆ ถึงความพร้อมในการแก้ปัญหาส่งออกมาจากซีกการเมือง เมื่อนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.แรงงาน ในฐานะต้นสังกัดสปส.ระบุว่า พร้อมจะแก้กฎหมาย (พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533) เพื่อ เปิดช่องให้ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมสามารถเลือกได้ว่าจะเปลี่ยนไปใช้ สิทธิบัตรทองได้ หากผู้ประกันตนมองว่าบัตรทองให้สิทธิประโยชน์ดีกว่าระบบประกันสังคมจริง

“แต่การแก้กฎหมายต้องแก้พร้อมกันทั้งของสปส.และสปสช. มิเช่นนั้นเมื่อแก้ฉบับหนึ่งก็จะไปติดล็อคอีกฉบับหนึ่ง สุดท้ายแล้วการเปิดช่องก็คงไม่อาจทำได้”คือท่าทีของรัฐมนตรีแรงงาน พรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้น

ส่วนประธานคณะกรรมการสปสช.โดยตำแหน่ง นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.สาธารณสุข ก็แสดงท่าทีในลักษณะไม่ได้ยินดียินร้ายกับข้อเสนอแต่อย่างใด ขอเพียงกระทรวงแรงงานในฐานะต้นสังกัดสปส.ทำเรื่องมาก่อน หากเกี่ยวข้องกับสปสช.ก็ยินดีดำเนินการ

“ต้องให้สปส.เริ่มก่อน ผมไม่อยากให้เกิดภาพว่าสปสช.ไปแย่งงานสปส.ทำ” เป็นคำให้สัมภาษณ์ของรัฐมนตรีสาธารณสุข พรรคประชาธิปัตย์ ภายหลังนายเฉลิมชัยส่งสัญญาณเพียง 1 วัน

การสื่อสารระหว่าง 2 กระทรวงผ่านสื่อมวลชนทำให้สังคมเคลือบแคลงใจว่า เป็นเพียงความพยายามเพื่อเตะถ่วง โยนลูกไปมา และไม่จริงใจในการแก้ปัญหาตามสไตล์ของพรรคประชาธิปัตย์ใช่หรือไม่

ด้วย ความไม่เชื่อใจและไม่มั่นต่อวิธีการแก้ปัญหาจากฝ่ายการเมืองว่าจะคลายปมที่ เกิดขึ้นครั้งนี้ได้ ในฐานะของผู้ประกันตนกลุ่มหนึ่งในนามชมรมพิทักษ์สิทธิผู้ประกันตนจึงยึดช่อง ทาง “กระบวนการยุติธรรม” เป็นที่พึ่ง

น.ส.สารี อ๋องสมหวัง โฆษกชมรมพิทักษ์สิทธิ์ผู้ประกันตน บอก ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการรวบรวมรายชื่อผู้ประกันตนซึ่งมีจำนวนมากก่อนจะ ยื่นฟ้องศาลต่อแรงงาน เพื่อให้สปส.คืนเงินที่ผู้ประกันตนจ่ายสมทบด้านสุขภาพจำนวน 1.5% ตั้งแต่ปี 2545 แล้วนำไปใช้ในกองทุนบำนาญชราภาพ คาดว่าทนายจะยื่นคำฟ้องได้ภายใน 15 วัน

นอกจากนี้ เตรียมยื่นฟ้องต่อศาลปกครองในประเด็นกฎกระทรวงแรงงานที่กำหนดให้มีการจ่าย เงินสมทบเป็นกฎกระทรวงที่ไม่เป็นธรรม เนื่องจากกำหนดให้ผู้ประกันตนเป็นคนกลุ่มเดียวที่ต้องร่วมจ่ายค่าบริการ สุขภาพ

อีกทั้ง ล่าสุดได้รับแจ้งจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติว่าเตรียมที่จะนำเรื่อง ของชมรมพิทักษ์สิทธิ์ฯ ซึ่งเคยยื่นคำร้องเอาไว้ ฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความว่า พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 ขัดต่อรัฐธรรมนูญพ.ศ.2550 หรือไม่

การเคลื่อนไหวของชมรมพิทักษ์สิทธิฯ ด้วยการดำเนินการตามช่องทางกฎหมาย สอดคล้องกับคำแนะนำของ นายภูมิ มูลศิลป์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ที่มองว่า ในเมื่อผู้ประกัน ตนในระบบประกันสังคม 9.4 ล้านคน ที่ต้องจ่ายเงินสมทบค่ารักษาพยาบาลแต่กลับได้สิทธิประโยชน์น้อยกว่าการรักษา ฟรีของสปสช.สามารถใช้ช่องทางทางกฎหมายต่อสู้

“ผู้ประกันตนต้องทำเรื่องอุทธรณ์ไปยังสปส.กรณีได้รับความเหลื่อม ล้ำเรื่องการ จ่ายเงิน หากสปส.ยืนกรานว่าดำเนินการอย่างสุจริตก็ให้ผู้ประกันตนยื่นเรื่องต่อศาล ปกครองโดยตรงในประเด็น สปส.ใช้อำนาจหน้าที่ก่อให้เกิดปัญหากับประชาชน"

ศาลอาจมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวผู้ประกันตนทั้ง 9.4 ล้านคนให้หยุดจ่ายเงินสมทบไปจนกว่าจะมีคำวินิจฉัย ซึ่งหากผู้ประกันตนแพ้ก็ค่อยกลับมาจ่ายเงินสมทบย้อนหลังได้”นักกฎหมายรายนี้ วิเคราะห์

อาจารย์ ภูมิ เสนออีกว่า ผู้ประกันตนยังสามารถใช้ช่องทางการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าพ.ร.บ. ประกันสังคมขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ หากศาลพิพากษาว่าขัดจริงสปส.ก็อาจจะต้องจ่ายเงินชดเชยย้อนหลังพร้อมดอกเบี้ย คืนแก่ผู้ประกันตน

สำทับความเป็นไปได้ของแนวทาง จากมุมมองทางกฎหมายของ นายเจษฎ์ โทณะวณิก คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม ที่ เชื่อว่า ก่อนหน้านี้สภานายจ้าง 7 องค์กรได้ยื่นเรื่องให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาว่า พ.ร.บ.ประกันสังคม ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งหากผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่าขัดจริงแล้วยื่นเรื่องต่อไปยังศาลรัฐ ธรรมนูญ และท้ายที่สุดศาลพิพากษาว่าผิดจริง สปส.อาจต้องจ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้ประกันตน

สำหรับแนวทางการชดเชยอาจเป็นไปได้2 แนวทางคือ 1.หากเกิดความเสียหายขึ้นและไม่มีแนวทางอื่นเยียวยา ศาลอาจสั่งให้ สปส.จ่ายเงินคืนผู้ประกันตนย้อนหลังนับตั้งแต่ที่มีการยื่นฟ้องคดี 2.แม้ว่าจะเกิดความเสียหายขึ้นจริง แต่ สปส.ได้ดำเนินการอย่างสุจริตศาลอาจพิจารณาว่า สปส.ไม่ต้องจ่ายเงินชดเชยคืน

ทางด้านสปส.นายปั้น วรรณพินิจ เลขาธิการสปส.ไม่ได้ ยี่หระต่อการดำเนินการของชมรมพิทักษ์สิทธิฯ แต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับเห็นด้วยที่จะให้กระบวนการยุติธรรมชี้ขาดปมพิพาทที่เกิดขึ้น

"ผมเห็นด้วยถ้าผู้ตรวจการแผ่นดินส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ซึ่งถ้าผลออกมาเป็นอย่างไร สปส.จะได้ปฏิบัติตามนั้น แต่อย่ามาอ้างกันว่าผู้ตรวจการแผ่นดินได้วินิจฉัยแล้วว่าสปส.ผิด เพราะนั่นไม่ใช่การตีความ"เลขาฯ ปั้น ยืนยัน

นายปั้น ย้ำอีกว่า อยากให้มีความชัดเจนว่าการเก็บเงินสมทบจากผู้ประกันตนของสปส.กรณีค่ารักษา พยาบาล 0.88% ทุกเดือนขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 30 ตามที่มีผู้ยื่นเรื่องให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาหรือไม่ หากผลการตีความชัดเจนอย่างไรทาง สปส.ก็พร้อมปฏิบัติตาม แต่เชื่อว่ากว่าจะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความคงใช้เวลาอีกนาน

เช่นเดียวกับ นายแล ดิลกวิทยรัตน์ อดีตผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาแรงงานและการจัดการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เห็นว่า ความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในระบบประกันสุขภาพมีแนวโน้มที่จะจบลงในชั้นศาล รัฐธรรมนูญ นั่นเพราะผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่าภาครัฐจะต้องให้บริการด้านสุขภาพแก่ ประชาชน คาดว่าคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะได้ข้อยุติ

อย่างไรก็ดีแม้ว่า “กระบวนการยุติธรรม” จะเป็นความหวัง ของผู้ประกันตนในการคลายปมความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในระบบ ประกันสุขภาพ แต่สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือจนถึงขณะนี้ยังไม่มีสักคำร้องเดียวที่ยื่นต่อศาล เพื่อให้พิจารณา

คำถามก็คือ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ผู้ประกันตนจำนวนเฉียด 10 ล้านคน จะลุกขึ้นทวงสิทธิความเสมอหน้าด้วยตัวของตัวเอง

เขียนโดย ทีม thaireform
วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน 2011
ศูนย์ข่าวสถาบันอิศรา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ประชาธิปไตย เป็นจิตวิญญาณของเรา