โดย เกษียร เตชะพีระ
ในร่างรายงานการวิจัยเรื่อง "บทบาทของการเมืองภาคประชาชนในการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยไทย" (2547) อาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ได้จับประเด็นหลักทางแนวคิดทฤษฎี ประวัติความเป็นมา และบทบาทความสำคัญเชิงปฏิบัติของ การเมืองภาคประชาชน ในฐานะแม่กุญแจที่อาจมีศักยภาพจะช่วยไขปัญหาหลักทั้ง 3 ของการเมืองไทยปัจจุบัน อันได้แก่ 1) ปัญหาประชาธิปไตยที่ไร้อธิปไตย 2) ปัญหาหนึ่งรัฐสองสังคม และ 3) ปัญหาการใช้อำนาจรัฐโดยขาดฉันทานุมัติจากประชาชน ไว้ดังนี้คำนิยามอย่างแคบ : - การเมืองภาคประชาชนหมายถึงการเคลื่อนไหวอย่างมีจิตสำนึกทางการเมืองของกลุ่มประชาชน เพื่อลดฐานะครอบงำของรัฐ รวมทั้งเพื่อโอนอำนาจบางส่วนมาให้ประชาชนใช้ดูแลชีวิตตนเองโดยตรง
คำนิยามอย่างกว้าง : - การเมืองภาคประชาชนคือปฏิกิริยาโต้ตอบการใช้อำนาจของรัฐและเป็นกิจกรรมถ่วงดุลอิทธิพลการครอบงำของระบบตลาดเสรีในภาคประชาชน
แก่นสารของการเมืองภาคประชาชน : - กระบวนการใช้อำนาจโดยตรงโดยประชาชนหมู่เหล่าต่างๆ ซึ่งมากกว่าการเลือกตั้ง และไม่น้อยไปกว่าการมีส่วนร่วมกำหนดนโยบายตลอดจนตัดสินใจเรื่องที่ส่งผลกระทบถึงตน
สถานะของการเมืองภาคประชาชน : - การเมืองภาคประชาชนเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวในประชาสังคม โดยทาบเทียบกับส่วนที่เป็นรัฐ ขณะที่ประชาสังคมรวมทุกส่วนที่ไม่ใช่ภาครัฐไว้ด้วยกัน จึงมีทั้งสถาบันของประชาชนธรรมดา พ่อค้านายทุน และกลไกตลาด สามารถแสดงเป็นสัญลักษณ์ได้ว่า ---> [ประชาสัมคม(การเมืองภาคประชาชน)] / รัฐ
จุดหมายของการพัฒนาการเมือง : - คือลดระดับการปกครองโดยรัฐลง(less government) และให้สังคมดูแลตนเองมากขึ้น โดยในสถานการณ์หนึ่งๆ จะมุ่งแสวงหาความสมดุลลงตัวในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับสังคม บนพื้นฐานระดับการแทรกตัวของรัฐเข้าไปในสังคมดังที่เป็นอยู่ และขีดความสามารถของประชาชนในการจัดการดูแลแก้ปัญหาของตนเองที่เป็นจริง
เนื้อแท้ของการเมืองภาคประชาชน : - ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองเพื่อจำกัดขอบเขตการใช้อำนาจของรัฐ, ถ่วงดุลอำนาจรัฐด้วยประชาสัมคมโดยไม่ยึดอำนาจ
พร้อมกันนั้นก็ถ่วงดุลอำนาจของพลังตลาดหรือทุนซึ่งสังกัดประชาสังคมไปด้วย, โดยช่วงชิงกับฝ่ายทุนเพื่อลดทอนและกำกับบทบาทของรัฐ, แย่งกันโอนอำนาจบางส่วนที่เคยเป็นของรัฐมาเป็นของประชาชน(แทนที่จะตกเป็นของฝ่ายทุน) เพื่อใช้มันโดยตรงและไม่ต้องผ่านรัฐดังก่อน, ผลักดันให้รัฐใช้อำนาจที่เหลือสนองเจตนารมณ์ประชาชน(แทนที่จะสนองผลประโยชน์ของฝ่ายทุน)
ดำเนินการต่อสู้ด้วยวิธีขยายสิทธิประชาธิปไตยออกไป และย้ายจุดเน้นจากการเมืองแบบเลือกตั้งผู้แทนมาเป็นการเมืองแบบมีส่วนร่วม(ขณะที่ฝ่ายทุนใช้ตลาดเสรีเป็นฐานที่มั่นสำคัญ)
พลังพลวัตใหม่ของการเมืองภาคประชาชน : - ได้แก่ กลุ่มธุรกิจรายย่อมและคนชั้นกลางทั่วไปในสังคมเมือง ซึ่งแตกต่าง ไม่วางใจ และอาจคัดค้านหรือปฏิเสธการตัดสินใจของกลุ่มทุนใหญ่ที่อยู่บนเวทีการเมือง, กับกลุ่มปัญญาชนสาธารณะ สื่อมวลชนอิสระ และกลุ่มประชาชนผู้เสียเปรียบ
ความเป็นมาของการเมืองภาคประชาชน : - เหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 เป็นหลักหมายสำคัญ, ช่วงหลังจากนั้น องค์กรพัฒนาเอกชน(เอ็นจีโอ) เป็นห่วงเชื่อมต่อสำคัญระหว่างขบวนการปฏิวัติแบบเก่า ---> ไปสู่การเมืองภาคประชาชนแบบใหม่
บุคลิกลักษณะของการเมืองภาคประชาชน : - เป็นขบวนการประชาธิปไตยที่ค่อนข้างราดิคัล (Radical Democratic Movements) ของกลุ่มย่อยที่ค่อนข้างกระจัดกระจายเป็นไปเอง โดยปราศจากศูนย์บัญชาการ มุ่งใช้สิทธิทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยมาแก้ปัญหาเฉพาะเรื่องเฉพาะจุด ไม่มีกรอบอุดมการณ์ตายตัว ไม่ต้องการยึดอำนาจรัฐด้วยการโค่นอำนาจรัฐเก่าแล้วจัดตั้งอำนาจรัฐใหม่ เพื่อเปลี่ยนแปลงจัดระเบียบโครงสร้างสังคมใหม่หมดตามแนวคิดแบบใดแบบหนึ่ง ถือกระบวนทัศน์เอาประชาชนเป็นตัวตั้ง(people-orienten)
ดังนั้น จึงต่างจากขบวนปฏิวัติสมัยก่อนที่เอารัฐเป็นตัวตั้ง(state-orienten) และมุ่งยึดอำนาจรัฐมาคัดแปลงสังคมให้เป็นไปตามอุดมการณ์ที่ยึดมั่น
ฉะนั้น การเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ ในการเมืองภาคประชาชน จึงมีประเด็นเรียกร้องต่อสู้ที่หลากหลายมาก แนวทางการเคลื่อนไหวก็ไม่เห็นพ้องต้องกันเสียทีเดียว จุดร่วมที่มีอยู่คือ ประเด็นปัญหาเหล่านั้นล้วนเกิดจากระบอบอำนาจรัฐรวมศูนย์ส่วนกลางและความจำกัดจำเขี่ย ไม่พอเพียงของประชาธิปไตยแบบตัวแทนในเวทีรัฐสภา มากกว่าความเป็นเอกภาพของการเมืองภาคประชาชนเอง ดังที่เรียกกันว่า one no, many yeses
ทิศทางและแม่แบบการเคลื่อนไหว : - การเมืองภาคประชาชนมีทิศทางการเคลื่อนไหวใหญ่ๆ 4 แบบคือ :
1) ร้องทุกข์ เรียกร้องให้รัฐแก้ปัญหาที่ไม่ได้รับการเหลียวแล เช่น กรณีแม่ใหญ่ไฮ ขันจันทา ร่วมกับสมัชชาคนจนและเอ็นจีโอกลุ่มต่างๆ ประท้วงเขื่อนห้วยละห้าท่วมที่นาทำกินนาน 27 ปี
2) มุ่งตรวจสอบกระบวนการใช้อำนาจรัฐ เช่น กรณีเครือข่ายองค์กรพัฒนาเอกชนตรวจสอบทุจริตยาอื้อฉาวในกระทรวงสาธารณสุข
3) ประท้วงอำนาจรัฐและเรียกร้องให้ถ่ายโอนอำนาจที่รัฐเคยมีมาเป็นของประชาชน เช่น กรณีร่าง พ.ร.บ.ป่าชุมชนฉบับประชาชน, การต่อต้านโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังถ่านหินที่บ่อนอก-หินกรูด จ.ประจวบคีรีขันธ์, การคัดค้านโครงการวางท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย ของประชาชน อ.จะนะ จ.สงขลา, การประท้วงนโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจของสหภาพแรงงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตและสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ฯลฯ
4) ร่วมมือเชิงวิพากษ์(critical co-operation) หรือเกี่ยวข้องอย่างสร้างสรรค์(costructive engagement)กับรัฐ เพื่อเบียดแย่งพื้นที่ในกระบวนการใช้อำนาจมาเป็นของประชาสัมคม เช่น แนวทางการเคลื่อนไหวสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขาของหมอประเวศ วะสี เป็นต้น
นับว่าการเคลื่อนไหวการเมืองภาคประชาชนในทิศทางที่ 3) กล่าวคือ "ประท้วงอำนาจรัฐและเรียกร้องให้ถ่ายโอนอำนาจที่รัฐเคยมีมาเป็นของประชาชน" สอดคล้องกับแนวทางถ่ายโอนอำนาจของรัฐไปสู่สังคมมากที่สุด อีกทั้งเป็นการช่วงชิงฐานะได้เปรียบเสียเปรียบกับพลังตลาด/ทุนด้วย จึงอาจถือได้ว่าเป็นแม่แบบ(model)ของการเมืองภาคประชาชนทีเดียว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ประชาธิปไตย เป็นจิตวิญญาณของเรา